ฝอยทอง

ฝอยทอง

เผยแพร่เมื่อ 13-07-2020 ผู้ชม 9,948

[16.4258401, 99.2157273, ฝอยทอง]

ฝอยทอง ชื่อสามัญ Dodder

ฝอยทอง ชื่อวิทยาศาสตร์ Cuscuta chinensis Lam. จัดอยู่ในวงศ์ผักบุ้ง (CONVOLVULACEAE)

สมุนไพรฝอยทอง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ฝอยไหม (นครราชสีมา), ผักไหม (อุดรธานี), ซิกคิบ่อ ทูโพเคาะกี่ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), เครือคำ (ไทใหญ่, ขมุ), บ่ะเครือคำ (ลั้วะ), กิมซีเช่า โท้วซี (จีนแต้จิ๋ว), ทู่ซือ ทู่ซือจื่อ (จีนกลาง) เป็นต้น

ลักษณะของฝอยทอง

  • ต้นฝอยทอง จัดเป็นพรรณไม้จำพวกกาฝากขึ้นเกาะ ดูดน้ำกินจากต้นไม้อื่น มีอายุประมาณ 1 ปี ลำต้นมีลักษณะเป็นเส้นกลม อ่อน แตกกิ่งก้านสาขามากเป็นเส้นยาว มีสีเหลืองทอง ยาวประมาณ 100 เซนติเมตร และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 1 เซนติเมตร ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด จัดเป็นพรรณไม้ที่ต้องการความชื้นในปริมาณมาก มักพบขึ้นตามบริเวณพุ่มไม้ที่ชุ่มชื้นทั่วไป ตามสวน เรือนเพาะชำ ริมถนน พื้นที่รกร้างทั่วไป
  • ใบฝอยทอง ลักษณะของใบเป็นเกล็ดขนาดเล็ก ๆ รูปสามเหลี่ยม มีจำนวนไม่มาก
  • ดอกฝอยทอง ออกดอกเป็นช่อ ดอกย่อยมีจำนวนมาก ไม่มีก้าน มีกลีบเลี้ยงขนาดเล็ก รูปกลมรี ดอกมีขนาดเล็ก ดอกเป็นสีขาว กลีบดอกยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร กลีบดอกที่โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ส่วนปลายกลีบดอกมน แยกออกเป็น 5 แฉก กลางดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน และเกสรเพศเมีย 2 อัน 
  • ผลฝอยทอง ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแบน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 มิลลิเมตร เป็นสีเทา ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 2-4 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดค่อนข้างกลมรี มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 มิลลิเมตร เมล็ดเป็นสีเหลืองอมเทา ผิวเมล็ดหยาบ

สรรพคุณของฝอยทอง

  1. เมล็ดใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ด้วยการใช้เมล็ดแห้งประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำกิน หรือนำมาบดให้ละเอียดทำเป็นยาเม็ดหรือทำเป็นยาผงรับประทาน (เมล็ด)
  2. ใช้แก้อาการร่างกายอ่อนเพลีย ด้วยการใช้ลำต้นแห้งประมาณ 10-12 กรัม นำมาต้มกับน้ำผสมกับเหล้าหรือน้ำตาลทรายแดงกินเป็นยา (ลำต้น)
  3. เมล็ดฝอยทองมีสรรพคุณช่วยลดไขมันในเลือด (เมล็ด)
  4. ลำต้นใช้เป็นยาแก้โรคดีซ่าน และแก้พิษ (ลำต้น)[1],[2],[3]คนเมืองจะใช้ลำต้นนำมาต้มกับน้ำอาบรักษาอาการตัวเหลืองจากโรคดีซ่าน (ลำต้น)
  5. เมล็ดมีสรรพคุณช่วยทำให้ตาสว่าง แก้ตามัว แก้อาการเวียนศีรษะ (เมล็ด)
  6. ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ (เมล็ด)[1],[2],[3]ส่วนอีกข้อมูลระบุว่า ลำต้นหรือเถามีสรรพคุณแก้ร้อนในกระหายน้ำ (ลำต้น)
  7. หากเป็นโรคตาแดงหรือเจ็บตา ให้ใช้ลำต้นสด นำมาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำ ใช้เป็นยาทารอบ ๆ ขอบตา (ลำต้น)
  8. ใช้ลำต้นแห้งประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้อาเจียนเป็นเลือด ไอเป็นเลือด เลือดกำเดาไหล อุจจาระเป็นเลือด ตกเลือด (ลำต้น)[1],[2],[3]
  9. เมล็ดใช้เป็นยาขับลม ขับเหงื่อ (เมล็ด)
  10. ลำต้นนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้บิด (ลำต้น)
  11. ใช้รักษาลำไส้อักเสบ เป็นบิดแบคทีเรีย ด้วยการใช้ลำต้นสดประมาณ 30 กรัม หรือประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำผสมกับขิงสด 7 แว่น แล้วเอาน้ำที่ได้มากินเป็นยา (ลำต้น)
  12. ทั้งต้นนำมามัดเป็นก้อนแล้วต้มดื่มน้ำเป็นยาถ่ายพยาธิ โดยให้รับประทาน 1-2 ครั้ง (ทั้งต้น)
  13. ช่วยแก้ปัสสาวะขัด ด้วยการใช้ลำต้นสดประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับเหง้ากูไฉ่สด ประมาณ 60 กรัม แล้วนำมาใช้ล้างหน้าท้องน้อย (ลำต้น)
  14. หากมีอาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย ให้ใช้ลำต้นแห้งประมาณ 10-12 กรัม นำมาต้มกับน้ำผสมกับเหล้าหรือน้ำตาลทรายแดงกินเป็นยา (ลำต้น)[1]ส่วนอีกตำราระบุให้ใช้เมล็ดเป็นยาแก้ปัสสาวะกะปริบกะปรอย (เมล็ด)
  15. ช่วยรักษาระดูขาวตกมากผิดปกติ และน้ำกามเคลื่อน ด้วยการใช้ลำต้นแห้งประมาณ 10-12 กรัม นำมาต้มกับน้ำผสมกับเหล้าหรือน้ำตาลทรายแดงกินเป็นยา ส่วนเมล็ดก็มีสรรพคุณเป็นยาแก้น้ำกามเคลื่อนได้เช่นกัน (ลำต้น, เมล็ด)
  16. ช่วยบำรุงน้ำอสุจิในเพศชาย แก้สมรรถภาพทางเพศชายเสื่อม แก้น้ำกามเคลื่อน (เมล็ด)[3]ตำรับยาแก้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมหรือแก้อาการน้ำกามเคลื่อน จะใช้เมล็ดฝอยทอง 15 กรัม, เก๋ากี้ 12 กรัม, โต่งต๋ง 12 กรัม, โป๋วกุกจี 10 กรัม, เกสรบัวหลวง 7 กรัม, เม็ดกุ๋ยฉ่าย 7 กรัม และโหงวบี่จี้ 7 กรัม นำมารวมกันต้มกับน้ำกิน หรือรวมกันบดให้เป็นผงทำเป็นยาเม็ดลูกกลอนกิน (ตำรับยานี้ใช้รักษาอาการปวดหลังปวดเอว และแก้ไตหย่อนได้ด้วย) (เมล็ด)
  17. เมล็ดใช้เป็นยาบำรุงตับ บำรุงไต ด้วยการใช้เมล็ดแห้งประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำกิน หรือนำมาบดให้ละเอียดทำเป็นยาเม็ดหรือทำเป็นยาผงรับประทาน (เมล็ด)
  18. ลำต้นนำมาตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำทาหรือพอกบริเวณที่เป็นฝ้า ผดผื่นคัน ผดผื่นคันจากอากาศร้อน แผลเรื้อรัง และใช้ห้ามเลือด (ลำต้น)
  19. ทั้งต้นนำมาต้มกินและอาบแก้อาการตัวบวม (ทั้งต้น)
  20. ใช้รักษากลากบริเวณคิ้ว ด้วยการใช้เมล็ดฝอยทองนำมาคั่วให้เกรียม แล้วบดให้ละเอียด ใช้ผสมกับน้ำมันมะพร้าวใช้เป็นยาทาบริเวณที่เป็น (เมล็ด)
  21. ใช้เป็นยารักษาผิวหนังเป็นปื้นขาวหรือเป็นด่างขาว จากการทดลองกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนังเป็นปื้นขาวจำนวน 10 ราย โดยการใช้ลำต้นสกัดเอายาด้วยแอลกอฮอล์ 75% กรองเอาแต่น้ำ ใช้สำลีชุบน้ำยาทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง พบว่าผู้ป่วยมีอาการหายดีขึ้นมาก 5 ราย มีอาการดีขึ้น 4 ราย และอีก 2 ราย ไม่ปรากฏผลเลย แต่ต่อมาอีก 1 เดือน อาการนั้นก็หายเป็นปกติอย่างเห็นได้ชัด (ลำต้น)
  22. หากมีอาการปวดเมื่อยตามอวัยวะต่าง ๆ ปวดหลัง ปวดเอว หรือปวดตามขาและน่อง รู้สึกชาไม่มีกำลัง ให้ใช้เมล็ดแห้งประมาณ 30 กรัม หรือประมาณ 1 ชาม นำมาแช่ในเหล้านาน 3-5 วัน แล้วเอาเมล็ดมาตากแห้ง จากนั้นนำมาบดให้ละเอียด ใช้กินครั้งละ 6 กรัม วันละ 3 ครั้ง (เมล็ด)
  23. ใช้เป็นส่วนผสมชนิดหนึ่งในตำรับยารักษาโรคเอดส์ ยับยั้งการก่อเกิดมะเร็งผิวหนัง ลดการอักเสบ เป็นต้น (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
  24. สรรพคุณของโท่วซีจี้ (เมล็ดสุก) ตามตำรายาจีนระบุว่าโท่วซีจี้ มีฤทธิ์บำรุงไต ช่วยควบคุมการหลั่งของน้ำอสุจิ รักษากลุ่มอาการของระบบไตพร่อง (ปวดเอว, ตกขาว, ปัสสาวะบ่อย, อวัยวะเพศไม่แข็งตัว, ฝันเปียก) มีฤทธิ์บำรุงตับ รักษากลุ่มอาการของระบบตับและไตอ่อนแอ (หน้ามืด, ตามัว, ตาล้า, เบลอ) ทำให้ตาสว่าง ช่วยหยุดถ่าย (เนื่องจากระบบม้ามและไตพร่องทำให้ถ่ายท้อง) และยังมีฤทธิ์บำรุงมดลูก ป้องกันการแท้งลูก (เนื่องจากระบบตับและไตอ่อนแอทำให้แท้งง่าย), โท่วซีจี้ผัดน้ำเกลือ ช่วยเพิ่มฤทธิ์บำรุงไตและบำรุงครรภ์ เหมาะสำหรับผู้ที่อวัยวะเพศไม่แข็งตัว ฝันเปียก ตกขาว ปัสสาวะบ่อย, โท่วซีจี้ผสมเหล้าอัดเป็นแผ่น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดเมื่อยเอวและเข่า กระหายน้ำ หูอื้อตามัว, โท่วซีจี้ผัด เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเอวเนื่องจากไตพร่อง หลังปัสสาวะแล้วยังมีปัสสาวะเหลืออยู่ (เมล็ด)
  25. สำหรับสัตว์เลี้ยงที่ไม่มีกำลัง ร่างกายอ่อนแอ ให้ใช้ลำต้นฝอยทอง โกฏเขมา และรากขี้ครอก ในปริมาณเท่ากัน อย่างละประมาณ 100-200 กรัม และเปลือกส้มแห้งประมาณ 30 กรัม นำมาต้มกับน้ำผสมเหล้าที่หมักด้วยข้าวเหนียวและน้ำตาลทรายแดงเล็กน้อย แล้วเอามาให้สัตว์เลี้ยงกิน (ลำต้น)
  26. ส่วนสัตว์เพศผู้ที่ไม่มีสมรรถภาพทางเพศ ให้ใช้เมล็ดฝอยทองนำมาต้มกับน้ำผสมเหล้าให้สัตว์กิน (เมล็ด)
  27. สำหรับแม่วัวที่มีน้ำนมน้อย ให้ใช้ลำต้นสดประมาณ 500 กรัม นำมาตำให้ละเอียด แล้วเอามาชงหรือละลายกับเหล้าที่ทำด้วยข้าวเหนียว อุ่นให้แม่วัวกิน (ลำต้น)

ขนาดและวิธีใช้ : การใช้ตาม [1] ลำต้นแห้ง ให้ใช้ประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำกิน ส่วนเมล็ด ให้ใช้เมล็ดที่แห้งแล้วประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำกิน หรือนำมาบดให้เป็นผงละเอียดทำเป็นยาผงหรือทำเป็นยาเม็ดกิน

ข้อห้ามใช้ : สตรีมีครรภ์และผู้ที่มีอาการท้องผูก ห้ามใช้สมุนไพรชนิดนี้ และหากพรรณไม้ชนิดนี้ขึ้นเกาะบนพืชมีพิษ เช่น ต้นลำโพง ต้นยี่โถ ต้นยาสูบ และต้นถอบแถบน้ำ ไม่ควรเก็บมาใช้เป็นยา เพราะลำต้นอาจมีพิษได้

หมายเหตุ : ในวงศ์เดียวกันยังมีฝอยทองอีกหลายชนิด คือ ฝอยทองยุโรป หรือในภาษาจีนเรียกว่า "โอวโจทู่ซือ" (Cuscuta europaea L.), ฝอยทองดอกใหญ่ หรือในภาษาจีนกลางเรียกว่า "ต้าฮวาทู่ซือ" (Cuscuta reexa Roxb.), ฝอยทองใหญ่ หรือในภาษาจีนเรียกว่า "กิมเต็งติ๊ง" และ "ต้าทูซือ" (Cuscuta japonica Choisy.) ซึ่งในแต่ละชนิดจะมีสรรพคุณที่ใกล้เคียงกัน และสามารถนำมาใช้แทนกันได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของฝอยทอง

  • สารที่พบ ได้แก่ a-Carotene, Campesterol, Cholesterol, B-Sitosterol, B-Amyrin, Stigmasterol, Taraxanthin[3], Arbutin, Astragatin, Caffeic acid, Hyperoside, Quercetin เป็นต้น
  • สารที่แช่สกัดเมล็ดฝอยทองด้วยแอลกอฮอล์ เมื่อนำมาทดสอบกับคางคก พบว่ามีฤทธิ์ต่อการเต้นของหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเพิ่มขึ้น แต่เมื่อนำมาใช้ทดสอบด้วยสารแช่สกัดที่ทำอยู่ในรูปของทิงเจอร์หรือด้วยน้ำ จะมีผลทำให้การเต้นของหัวใจลดลง
  • เมื่อนำสารที่สกัดได้จากเมล็ดด้วยแอลกอฮอล์และสารที่สกัดจากเมล็ดด้วยน้ำ นำมาทดลองกับหนู พบว่าสารสกัดทั้งสองชนิดมีฤทธิ์ทำให้การบีบตัวของหัวใจสัตว์มีอาการแรงขึ้น แต่สารที่สกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์ทำให้หัวใจของหนูเต้นช้าลง และสารที่สกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์ทำให้หัวใจของหนูเต้นช้าลง
  • สารที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ของฝอยทองและสารที่สกัดด้วยน้ำ มีฤทธิ์ทำให้มดลูกของหนูกระตุ้นแรงขึ้น
  • ในประเทศจีนและบางประเทศในแถบเอเชีย ได้มีการใช้เมล็ดฝอยทองในการรักษาโรคกระดูกพรุน จากการวิเคราะห์ทางเคมีพบว่า สารประกอบที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอลเป็นสารในกลุ่ม astragalin, flavonoids, quercetin, hyperoside isorhamnetin และ kaempferol เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์พบว่าสาร kaempferol และ hyperoside สามารถเพิ่มฤทธิ์ของ alkaline phosphatase (ALP) ในเซลล์ osteoblast-like UMR-106 โดยที่ ALP เป็นตัวบ่งชี้ในการเพิ่มการสร้างเซลล์กระดูกของเซลล์ตั้งต้น และสาร astragalin ยังกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ UMR-106 ด้วย ส่วนสารอื่น ๆ ไม่พบว่ามีฤทธิ์ดังกล่าว นอกจากนี้ยังพบว่าสารที่แยกได้มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน โดยสาร quercetin, kaempferol และ isorhamnetin ออกฤทธิ์กระตุ้น ERβ (estrogen receptor agonist) แต่เมื่อเปรียบเทียบกันในแง่ของการกระตุ้น ER จะมีเพียงสาร quercetin และ kaempferol ที่ออกฤทธิ์แรงในการยับยั้งตัวรับ estrogen ชนิด ERα/β โดยที่กลไกดังกล่าวคาดว่าจะเทียบเคียงกับยา raloxifene ที่ออกฤทธิ์กระตุ้น ER ที่บริเวณกระดูก ไขมัน หัวใจและหลอดเลือด แต่ออกฤทธิ์ยับยั้ง ER ที่บริเวณเต้านมและมดลูก นอกจากนี้สาร quercetin และ kaempferol ยังกระตุ้นการแสดงออกของ ERα/β-mediated AP-1 reporter (activator protein) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูก เช่นเดียวกับยา raloxifene จากการทดลองทั้งหมดทำให้สรุปได้ว่าเมล็ดฝอยทองมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคกระดูกพรุน และสารสำคัญที่มีฤทธิ์ในการสร้างเซลล์กระดูกคือ kaempferol และ hyperoside
  • จากการทดสอบทางพิษวิทยา พบว่าสารที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์หรือสกัดด้วยน้ำ ไม่เป็นพิษต่อร่างกายของสัตว์
  • เมื่อทดลองโดยใช้สารแช่สกัดด้วยน้ำและแอลกอฮอล์จากเมล็ดนำมาฉีดเข้าใต้ผิวหนังของหนูเล็กสีขาว พบว่ามีผลทำให้หนูตายไปครึ่งตัว แต่เมื่อนำมาใช้ทดลองกับหนูใหญ่ โดยให้หนูใหญ่กินติดต่อกันประมาณ 2 เดือน ไม่พบการผิดปกติและไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตแต่อย่างใด
  • เมื่อปี ค.ศ.2007 ที่ประเทศจีน ได้ทำการทดลองใช้สมุนไพรรวมหลายชนิด ซึ่งหนึ่งในสมุนไพรดังกล่าวนั้นมีฝอยทองอยู่ด้วย และได้พบว่ายาสมุนไพรดังกล่าวสามารถใช้รักษาภาวะไขมันในเลือดสูง ภาวะความดันโลหิตสูง และใช้รักษาโรคต่อมลูกหมากได้ผลดี

ประโยชน์ของฝอยทอง

  • ลำต้นนำมาต้มหรือลวกรับประทานเป็นอาหาร ใช้เป็นผักจิ้มกับน้ำพริก ใช้ยำใส่มะเขือ หรือนำมาชุบแป้งทอดรับประทานร่วมกับน้ำพริกกะปิ

 

คำสำคัญ : ฝอยทอง

ที่มา : https://medthai.com/

รวบรวมและจัดทำข้อมูล : กาญจนา จันทร์สิงห์


สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มาหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. (2563). ฝอยทอง. สืบค้น 15 มิถุนายน 2568, จาก https://arit.kpru.ac.th/ap/local/?nu=pages&page_id=1730&code_db=610010&code_type=01

Facebook Twitter LINE Linkedin

PDF

https://arit.kpru.ac.th/ap2/local/?nu=pages&page_id=1730&code_db=610010&code_type=01

Google search

Mic

มะขามป้อม

มะขามป้อม

มะขามป้อม ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Phyllanthus emblica Linn. วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับมะขามป้อกันนะครับมะขามป้อมถือเป็นที่รู้จักกันดีในวงการการแพทย์ด้วยสรรพคุณที่หลากหลายกับนานาคุณประโยชน์ ลักษนะของมะขามป้อม ผลสด เป็นผลกลมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2cmในปัจจุบันนี้มีมะขามป้อมพันธ์ยักษ์ซึ่งขนาดผลใหญ่กว่าผลปกติ2-3เท่าในมะขามป้อมมี สารอะนุมูลอิสระ อุดมไปด้วยวิตามินA B3 Cและยังมีสารอาหารจำพวก แคลเซียม คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก

เผยแพร่เมื่อ 23-02-2017 ผู้เช้าชม 3,421

ไพล

ไพล

ต้นไพล เป็นไม้ล้มลุก สูง 0.7-1.5 เมตร มีลำต้นใต้ดินเป็นเหง้า เปลือกสีน้ำตาลแกมเหลือง เหง้าสดมีเนื้อในสีเหลืองถึงเหลืองแกมเขียว ฉ่ำน้ำ มีกลิ่นหอมเฉพาะ แทงหน่อหรือลำต้นเทียมขึ้นเป็นกอ ประกอบด้วยกาบหรือโคนใบหุ้มซ้อนกันเป็นลำกลม สีเขียวเข้ม โคนกาบสีแดง

เผยแพร่เมื่อ 17-02-2017 ผู้เช้าชม 4,113

ใบต่อก้าน

ใบต่อก้าน

ใบต่อก้าน จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุก ลำต้นทอดยาวไปตามพื้นดิน หรือโค้งแล้วตั้งตรง สูงได้ประมาณ 0.5-1 เมตร มีขนนุ่ม ๆ ขึ้นปกคลุมทั่วไปตามลำต้นและตามกิ่งก้านที่โคน ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด มีเขตการกระจายพันธุ์ในแอฟริกาตะวันออก ปากีสถาน เนปาล อินเดีย บังกลาเทศ ศรีลังกา จีน กัมพูชา พม่า ลาว เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ หมู่เกาะแปซิฟิก และมาดากัสการ์ ส่วนในประเทศไทยพบขึ้นกระจายแบบห่าง ๆ แทบทุกภาคของประเทศ ยกเว้นทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ โดยมักขึ้นตามพื้นที่เป็นหิน เขาหินปูน หรือพื้นที่ปนทรายที่แห้งแล้ง ตามที่โล่ง ทุ่งหญ้า ป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง

เผยแพร่เมื่อ 04-06-2020 ผู้เช้าชม 2,929

หงอนไก่

หงอนไก่

หงอนไก่ฝรั่ง จัดเป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็ก มีความสูงของต้นประมาณ 20 นิ้ว ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขาไม่มากนัก และไม่มีแก่นด้วย เป็นพรรณไม้ที่กลายพันธุ์ได้ง่าย ทำให้บางต้นจึงมักไม่เป็นสีเขียวเสมอไป โดยอาจจะเป็นสีเขียวอ่อน สีขาว หรือสีแดง เป็นต้น ซึ่งก็แล้วแต่พันธุ์ของต้นนั้น ๆ สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยและระบายน้ำได้ดี เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ชอบแสงแดดจัด และเจริญเติบโตได้ง่ายและงอกงามเร็ว

เผยแพร่เมื่อ 16-07-2020 ผู้เช้าชม 21,577

หญ้าใต้ใบ

หญ้าใต้ใบ

ลูกใต้ใบ หรือ หญ้าใต้ใบ ที่ทุกคนรู้จัก เป็นยาสมุนไพรที่มีผลทางยาหลายประการ ลูกใต้ใบมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไป มะขามป้อมดิน หญ้าใต้ใบ ไฟเดือนห้า หญ้าใต้ใบขาว หมากไข่หลัง ลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีทุกภาคของประเทศไทย หญ้าใต้ใบมีถิ่นกำเนิดมาจากอเมริกาและแอฟริกา

เผยแพร่เมื่อ 23-02-2017 ผู้เช้าชม 3,205

งาขาว

งาขาว

งาขาว (White Sesame Seeds) เป็นพืชสมุนไพรจำพวกต้น ที่มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นต่างๆ เช่น งาขาว, งาดำ ซึ่งงานั้นเป็นพืชสมุนไพรที่เรารู้จักกันดี และงานั้นมักจะโรยอยู่ในขนมต่างๆ มีกลิ่นหอมชวนรับประทาน แถมยังมีคุณค่าทางด้านโภชนาการสูงอีกด้วย จนแทบไม่น่าเชื่อว่างาเม็ดเล็กๆ อย่างนี้จะสามารถอัดแน่นไปด้วยคุณค่ามากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร และมีการใช้เมล็ดงาเพื่อประกอบอาหารกันมากโดยเฉพาะในแถบตะวันออกกลาง และเอเชีย

เผยแพร่เมื่อ 30-04-2020 ผู้เช้าชม 7,851

สายน้ำผึ้ง

สายน้ำผึ้ง

สายน้ำผึ้ง มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชีย เช่น ประเทศไทย จีน ญี่ปุ่น จัดเป็นไม้เถาเลื้อยพัน มีอายุหลายปี มีความยาวประมาณ 9 เมตร เถามีลักษณะกลมเป็นสีน้ำตาล ส่วนเนื้อในเถากลวง แตกกิ่งก้านสาขาออกมากมายเป็นทรงพุ่ม ตามกิ่งอ่อนมีขนสั้นนุ่มสีน้ำตาลปกคลุม ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการปักชำ ตอนกิ่ง และเพาะเมล็ด (แต่การปักชำเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด) โดยจัดเป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ที่เจริญเติบโตได้ดีสวยในดินร่วนซุยและมีความชื้นปานกลาง มักพบขึ้นมากทางป่าแถบภูเขา

เผยแพร่เมื่อ 17-07-2020 ผู้เช้าชม 5,610

สลัดไดป่า

สลัดไดป่า

ไม้ต้น ลำต้นเป็นสามเหลี่ยมสีเขียว ตรง สูงประมาณ 2-5 เมตร ลำต้นมักแตกออกเป็นสามยอด ตรงสันของลำต้นมีหนามเป็นกระจุกๆ ละ 2 เรียง ลงมาตลอดลำต้น-ลำต้นมียางสีขาวเหมือนนํ้านม ใบ เดี่ยวขนาดเล็ก เรียงสลับรูปไข่กลับ ร่วงง่ายจึงดูคล้ายไม่มีใบ ดอกจะออกหน้าหนาวออกเป็นตุ่มๆ สี

เผยแพร่เมื่อ 17-02-2017 ผู้เช้าชม 2,726

ก้ามปู

ก้ามปู

ต้นจามจุรีมีชื่อวิทยาศาสตร์ Samanca Saman (Jacq) Merr. เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีอายุได้นานเป็นร้อยปี มีลำต้นสูงได้มากกว่า 25 เมตร และมีขนาดทรงพุ่มกว้่างได้มากกว่า 25 เมตร มักพบทั่วไปตามข้างถนน หัวไร่ ปลายนา และตามสถานที่ราชการต่างๆ

เผยแพร่เมื่อ 23-02-2017 ผู้เช้าชม 4,899

กระเจานา

กระเจานา

ต้นกระเจานาเป็นไม้ล้มลุก ต้นเตี้ยเรี่ยพื้นจนถึงสูง 1 เมตร ลำต้นสีแดง เกลี้ยงหรือมีขน ใบกระเจานาใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่ กว้าง 3-5 เซนติเมตร ยาว 4-10 เซนติเมตร ปลายแหลม โคนมน ขอบจักฟันเลื่อย จักสุดท้ายตรงโคนใบมีระยางค์ยื่นออกมายาวประมาณ 7 มิลลิเมตร ข้างละ 1 เส้น เส้นแขนงใบออกจากโคนใบ 1 คู่ ยาวเกือบถึงปลายใบ ด้านล่างมีขนและเห็นเส้นแขนงใบชัดเจน ก้านใบยาว 2-3 เซนติเมตร มีขนและเป็นร่องทางด้านบน หูใบรูปสามเหลี่ยมเรียวแหลมยาวประมาณ 3 เซนติเมตร

เผยแพร่เมื่อ 12-05-2020 ผู้เช้าชม 3,401