ฝอยทอง

ฝอยทอง

เผยแพร่เมื่อ 13-07-2020 ผู้ชม 8,285

[16.4258401, 99.2157273, ฝอยทอง]

ฝอยทอง ชื่อสามัญ Dodder

ฝอยทอง ชื่อวิทยาศาสตร์ Cuscuta chinensis Lam. จัดอยู่ในวงศ์ผักบุ้ง (CONVOLVULACEAE)

สมุนไพรฝอยทอง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ฝอยไหม (นครราชสีมา), ผักไหม (อุดรธานี), ซิกคิบ่อ ทูโพเคาะกี่ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), เครือคำ (ไทใหญ่, ขมุ), บ่ะเครือคำ (ลั้วะ), กิมซีเช่า โท้วซี (จีนแต้จิ๋ว), ทู่ซือ ทู่ซือจื่อ (จีนกลาง) เป็นต้น

ลักษณะของฝอยทอง

  • ต้นฝอยทอง จัดเป็นพรรณไม้จำพวกกาฝากขึ้นเกาะ ดูดน้ำกินจากต้นไม้อื่น มีอายุประมาณ 1 ปี ลำต้นมีลักษณะเป็นเส้นกลม อ่อน แตกกิ่งก้านสาขามากเป็นเส้นยาว มีสีเหลืองทอง ยาวประมาณ 100 เซนติเมตร และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 1 เซนติเมตร ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด จัดเป็นพรรณไม้ที่ต้องการความชื้นในปริมาณมาก มักพบขึ้นตามบริเวณพุ่มไม้ที่ชุ่มชื้นทั่วไป ตามสวน เรือนเพาะชำ ริมถนน พื้นที่รกร้างทั่วไป
  • ใบฝอยทอง ลักษณะของใบเป็นเกล็ดขนาดเล็ก ๆ รูปสามเหลี่ยม มีจำนวนไม่มาก
  • ดอกฝอยทอง ออกดอกเป็นช่อ ดอกย่อยมีจำนวนมาก ไม่มีก้าน มีกลีบเลี้ยงขนาดเล็ก รูปกลมรี ดอกมีขนาดเล็ก ดอกเป็นสีขาว กลีบดอกยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร กลีบดอกที่โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ส่วนปลายกลีบดอกมน แยกออกเป็น 5 แฉก กลางดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน และเกสรเพศเมีย 2 อัน 
  • ผลฝอยทอง ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแบน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 มิลลิเมตร เป็นสีเทา ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 2-4 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดค่อนข้างกลมรี มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 มิลลิเมตร เมล็ดเป็นสีเหลืองอมเทา ผิวเมล็ดหยาบ

สรรพคุณของฝอยทอง

  1. เมล็ดใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ด้วยการใช้เมล็ดแห้งประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำกิน หรือนำมาบดให้ละเอียดทำเป็นยาเม็ดหรือทำเป็นยาผงรับประทาน (เมล็ด)
  2. ใช้แก้อาการร่างกายอ่อนเพลีย ด้วยการใช้ลำต้นแห้งประมาณ 10-12 กรัม นำมาต้มกับน้ำผสมกับเหล้าหรือน้ำตาลทรายแดงกินเป็นยา (ลำต้น)
  3. เมล็ดฝอยทองมีสรรพคุณช่วยลดไขมันในเลือด (เมล็ด)
  4. ลำต้นใช้เป็นยาแก้โรคดีซ่าน และแก้พิษ (ลำต้น)[1],[2],[3]คนเมืองจะใช้ลำต้นนำมาต้มกับน้ำอาบรักษาอาการตัวเหลืองจากโรคดีซ่าน (ลำต้น)
  5. เมล็ดมีสรรพคุณช่วยทำให้ตาสว่าง แก้ตามัว แก้อาการเวียนศีรษะ (เมล็ด)
  6. ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ (เมล็ด)[1],[2],[3]ส่วนอีกข้อมูลระบุว่า ลำต้นหรือเถามีสรรพคุณแก้ร้อนในกระหายน้ำ (ลำต้น)
  7. หากเป็นโรคตาแดงหรือเจ็บตา ให้ใช้ลำต้นสด นำมาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำ ใช้เป็นยาทารอบ ๆ ขอบตา (ลำต้น)
  8. ใช้ลำต้นแห้งประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้อาเจียนเป็นเลือด ไอเป็นเลือด เลือดกำเดาไหล อุจจาระเป็นเลือด ตกเลือด (ลำต้น)[1],[2],[3]
  9. เมล็ดใช้เป็นยาขับลม ขับเหงื่อ (เมล็ด)
  10. ลำต้นนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้บิด (ลำต้น)
  11. ใช้รักษาลำไส้อักเสบ เป็นบิดแบคทีเรีย ด้วยการใช้ลำต้นสดประมาณ 30 กรัม หรือประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำผสมกับขิงสด 7 แว่น แล้วเอาน้ำที่ได้มากินเป็นยา (ลำต้น)
  12. ทั้งต้นนำมามัดเป็นก้อนแล้วต้มดื่มน้ำเป็นยาถ่ายพยาธิ โดยให้รับประทาน 1-2 ครั้ง (ทั้งต้น)
  13. ช่วยแก้ปัสสาวะขัด ด้วยการใช้ลำต้นสดประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับเหง้ากูไฉ่สด ประมาณ 60 กรัม แล้วนำมาใช้ล้างหน้าท้องน้อย (ลำต้น)
  14. หากมีอาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย ให้ใช้ลำต้นแห้งประมาณ 10-12 กรัม นำมาต้มกับน้ำผสมกับเหล้าหรือน้ำตาลทรายแดงกินเป็นยา (ลำต้น)[1]ส่วนอีกตำราระบุให้ใช้เมล็ดเป็นยาแก้ปัสสาวะกะปริบกะปรอย (เมล็ด)
  15. ช่วยรักษาระดูขาวตกมากผิดปกติ และน้ำกามเคลื่อน ด้วยการใช้ลำต้นแห้งประมาณ 10-12 กรัม นำมาต้มกับน้ำผสมกับเหล้าหรือน้ำตาลทรายแดงกินเป็นยา ส่วนเมล็ดก็มีสรรพคุณเป็นยาแก้น้ำกามเคลื่อนได้เช่นกัน (ลำต้น, เมล็ด)
  16. ช่วยบำรุงน้ำอสุจิในเพศชาย แก้สมรรถภาพทางเพศชายเสื่อม แก้น้ำกามเคลื่อน (เมล็ด)[3]ตำรับยาแก้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมหรือแก้อาการน้ำกามเคลื่อน จะใช้เมล็ดฝอยทอง 15 กรัม, เก๋ากี้ 12 กรัม, โต่งต๋ง 12 กรัม, โป๋วกุกจี 10 กรัม, เกสรบัวหลวง 7 กรัม, เม็ดกุ๋ยฉ่าย 7 กรัม และโหงวบี่จี้ 7 กรัม นำมารวมกันต้มกับน้ำกิน หรือรวมกันบดให้เป็นผงทำเป็นยาเม็ดลูกกลอนกิน (ตำรับยานี้ใช้รักษาอาการปวดหลังปวดเอว และแก้ไตหย่อนได้ด้วย) (เมล็ด)
  17. เมล็ดใช้เป็นยาบำรุงตับ บำรุงไต ด้วยการใช้เมล็ดแห้งประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำกิน หรือนำมาบดให้ละเอียดทำเป็นยาเม็ดหรือทำเป็นยาผงรับประทาน (เมล็ด)
  18. ลำต้นนำมาตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำทาหรือพอกบริเวณที่เป็นฝ้า ผดผื่นคัน ผดผื่นคันจากอากาศร้อน แผลเรื้อรัง และใช้ห้ามเลือด (ลำต้น)
  19. ทั้งต้นนำมาต้มกินและอาบแก้อาการตัวบวม (ทั้งต้น)
  20. ใช้รักษากลากบริเวณคิ้ว ด้วยการใช้เมล็ดฝอยทองนำมาคั่วให้เกรียม แล้วบดให้ละเอียด ใช้ผสมกับน้ำมันมะพร้าวใช้เป็นยาทาบริเวณที่เป็น (เมล็ด)
  21. ใช้เป็นยารักษาผิวหนังเป็นปื้นขาวหรือเป็นด่างขาว จากการทดลองกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนังเป็นปื้นขาวจำนวน 10 ราย โดยการใช้ลำต้นสกัดเอายาด้วยแอลกอฮอล์ 75% กรองเอาแต่น้ำ ใช้สำลีชุบน้ำยาทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง พบว่าผู้ป่วยมีอาการหายดีขึ้นมาก 5 ราย มีอาการดีขึ้น 4 ราย และอีก 2 ราย ไม่ปรากฏผลเลย แต่ต่อมาอีก 1 เดือน อาการนั้นก็หายเป็นปกติอย่างเห็นได้ชัด (ลำต้น)
  22. หากมีอาการปวดเมื่อยตามอวัยวะต่าง ๆ ปวดหลัง ปวดเอว หรือปวดตามขาและน่อง รู้สึกชาไม่มีกำลัง ให้ใช้เมล็ดแห้งประมาณ 30 กรัม หรือประมาณ 1 ชาม นำมาแช่ในเหล้านาน 3-5 วัน แล้วเอาเมล็ดมาตากแห้ง จากนั้นนำมาบดให้ละเอียด ใช้กินครั้งละ 6 กรัม วันละ 3 ครั้ง (เมล็ด)
  23. ใช้เป็นส่วนผสมชนิดหนึ่งในตำรับยารักษาโรคเอดส์ ยับยั้งการก่อเกิดมะเร็งผิวหนัง ลดการอักเสบ เป็นต้น (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
  24. สรรพคุณของโท่วซีจี้ (เมล็ดสุก) ตามตำรายาจีนระบุว่าโท่วซีจี้ มีฤทธิ์บำรุงไต ช่วยควบคุมการหลั่งของน้ำอสุจิ รักษากลุ่มอาการของระบบไตพร่อง (ปวดเอว, ตกขาว, ปัสสาวะบ่อย, อวัยวะเพศไม่แข็งตัว, ฝันเปียก) มีฤทธิ์บำรุงตับ รักษากลุ่มอาการของระบบตับและไตอ่อนแอ (หน้ามืด, ตามัว, ตาล้า, เบลอ) ทำให้ตาสว่าง ช่วยหยุดถ่าย (เนื่องจากระบบม้ามและไตพร่องทำให้ถ่ายท้อง) และยังมีฤทธิ์บำรุงมดลูก ป้องกันการแท้งลูก (เนื่องจากระบบตับและไตอ่อนแอทำให้แท้งง่าย), โท่วซีจี้ผัดน้ำเกลือ ช่วยเพิ่มฤทธิ์บำรุงไตและบำรุงครรภ์ เหมาะสำหรับผู้ที่อวัยวะเพศไม่แข็งตัว ฝันเปียก ตกขาว ปัสสาวะบ่อย, โท่วซีจี้ผสมเหล้าอัดเป็นแผ่น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดเมื่อยเอวและเข่า กระหายน้ำ หูอื้อตามัว, โท่วซีจี้ผัด เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเอวเนื่องจากไตพร่อง หลังปัสสาวะแล้วยังมีปัสสาวะเหลืออยู่ (เมล็ด)
  25. สำหรับสัตว์เลี้ยงที่ไม่มีกำลัง ร่างกายอ่อนแอ ให้ใช้ลำต้นฝอยทอง โกฏเขมา และรากขี้ครอก ในปริมาณเท่ากัน อย่างละประมาณ 100-200 กรัม และเปลือกส้มแห้งประมาณ 30 กรัม นำมาต้มกับน้ำผสมเหล้าที่หมักด้วยข้าวเหนียวและน้ำตาลทรายแดงเล็กน้อย แล้วเอามาให้สัตว์เลี้ยงกิน (ลำต้น)
  26. ส่วนสัตว์เพศผู้ที่ไม่มีสมรรถภาพทางเพศ ให้ใช้เมล็ดฝอยทองนำมาต้มกับน้ำผสมเหล้าให้สัตว์กิน (เมล็ด)
  27. สำหรับแม่วัวที่มีน้ำนมน้อย ให้ใช้ลำต้นสดประมาณ 500 กรัม นำมาตำให้ละเอียด แล้วเอามาชงหรือละลายกับเหล้าที่ทำด้วยข้าวเหนียว อุ่นให้แม่วัวกิน (ลำต้น)

ขนาดและวิธีใช้ : การใช้ตาม [1] ลำต้นแห้ง ให้ใช้ประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำกิน ส่วนเมล็ด ให้ใช้เมล็ดที่แห้งแล้วประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำกิน หรือนำมาบดให้เป็นผงละเอียดทำเป็นยาผงหรือทำเป็นยาเม็ดกิน

ข้อห้ามใช้ : สตรีมีครรภ์และผู้ที่มีอาการท้องผูก ห้ามใช้สมุนไพรชนิดนี้ และหากพรรณไม้ชนิดนี้ขึ้นเกาะบนพืชมีพิษ เช่น ต้นลำโพง ต้นยี่โถ ต้นยาสูบ และต้นถอบแถบน้ำ ไม่ควรเก็บมาใช้เป็นยา เพราะลำต้นอาจมีพิษได้

หมายเหตุ : ในวงศ์เดียวกันยังมีฝอยทองอีกหลายชนิด คือ ฝอยทองยุโรป หรือในภาษาจีนเรียกว่า "โอวโจทู่ซือ" (Cuscuta europaea L.), ฝอยทองดอกใหญ่ หรือในภาษาจีนกลางเรียกว่า "ต้าฮวาทู่ซือ" (Cuscuta reexa Roxb.), ฝอยทองใหญ่ หรือในภาษาจีนเรียกว่า "กิมเต็งติ๊ง" และ "ต้าทูซือ" (Cuscuta japonica Choisy.) ซึ่งในแต่ละชนิดจะมีสรรพคุณที่ใกล้เคียงกัน และสามารถนำมาใช้แทนกันได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของฝอยทอง

  • สารที่พบ ได้แก่ a-Carotene, Campesterol, Cholesterol, B-Sitosterol, B-Amyrin, Stigmasterol, Taraxanthin[3], Arbutin, Astragatin, Caffeic acid, Hyperoside, Quercetin เป็นต้น
  • สารที่แช่สกัดเมล็ดฝอยทองด้วยแอลกอฮอล์ เมื่อนำมาทดสอบกับคางคก พบว่ามีฤทธิ์ต่อการเต้นของหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเพิ่มขึ้น แต่เมื่อนำมาใช้ทดสอบด้วยสารแช่สกัดที่ทำอยู่ในรูปของทิงเจอร์หรือด้วยน้ำ จะมีผลทำให้การเต้นของหัวใจลดลง
  • เมื่อนำสารที่สกัดได้จากเมล็ดด้วยแอลกอฮอล์และสารที่สกัดจากเมล็ดด้วยน้ำ นำมาทดลองกับหนู พบว่าสารสกัดทั้งสองชนิดมีฤทธิ์ทำให้การบีบตัวของหัวใจสัตว์มีอาการแรงขึ้น แต่สารที่สกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์ทำให้หัวใจของหนูเต้นช้าลง และสารที่สกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์ทำให้หัวใจของหนูเต้นช้าลง
  • สารที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ของฝอยทองและสารที่สกัดด้วยน้ำ มีฤทธิ์ทำให้มดลูกของหนูกระตุ้นแรงขึ้น
  • ในประเทศจีนและบางประเทศในแถบเอเชีย ได้มีการใช้เมล็ดฝอยทองในการรักษาโรคกระดูกพรุน จากการวิเคราะห์ทางเคมีพบว่า สารประกอบที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอลเป็นสารในกลุ่ม astragalin, flavonoids, quercetin, hyperoside isorhamnetin และ kaempferol เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์พบว่าสาร kaempferol และ hyperoside สามารถเพิ่มฤทธิ์ของ alkaline phosphatase (ALP) ในเซลล์ osteoblast-like UMR-106 โดยที่ ALP เป็นตัวบ่งชี้ในการเพิ่มการสร้างเซลล์กระดูกของเซลล์ตั้งต้น และสาร astragalin ยังกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ UMR-106 ด้วย ส่วนสารอื่น ๆ ไม่พบว่ามีฤทธิ์ดังกล่าว นอกจากนี้ยังพบว่าสารที่แยกได้มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน โดยสาร quercetin, kaempferol และ isorhamnetin ออกฤทธิ์กระตุ้น ERβ (estrogen receptor agonist) แต่เมื่อเปรียบเทียบกันในแง่ของการกระตุ้น ER จะมีเพียงสาร quercetin และ kaempferol ที่ออกฤทธิ์แรงในการยับยั้งตัวรับ estrogen ชนิด ERα/β โดยที่กลไกดังกล่าวคาดว่าจะเทียบเคียงกับยา raloxifene ที่ออกฤทธิ์กระตุ้น ER ที่บริเวณกระดูก ไขมัน หัวใจและหลอดเลือด แต่ออกฤทธิ์ยับยั้ง ER ที่บริเวณเต้านมและมดลูก นอกจากนี้สาร quercetin และ kaempferol ยังกระตุ้นการแสดงออกของ ERα/β-mediated AP-1 reporter (activator protein) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูก เช่นเดียวกับยา raloxifene จากการทดลองทั้งหมดทำให้สรุปได้ว่าเมล็ดฝอยทองมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคกระดูกพรุน และสารสำคัญที่มีฤทธิ์ในการสร้างเซลล์กระดูกคือ kaempferol และ hyperoside
  • จากการทดสอบทางพิษวิทยา พบว่าสารที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์หรือสกัดด้วยน้ำ ไม่เป็นพิษต่อร่างกายของสัตว์
  • เมื่อทดลองโดยใช้สารแช่สกัดด้วยน้ำและแอลกอฮอล์จากเมล็ดนำมาฉีดเข้าใต้ผิวหนังของหนูเล็กสีขาว พบว่ามีผลทำให้หนูตายไปครึ่งตัว แต่เมื่อนำมาใช้ทดลองกับหนูใหญ่ โดยให้หนูใหญ่กินติดต่อกันประมาณ 2 เดือน ไม่พบการผิดปกติและไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตแต่อย่างใด
  • เมื่อปี ค.ศ.2007 ที่ประเทศจีน ได้ทำการทดลองใช้สมุนไพรรวมหลายชนิด ซึ่งหนึ่งในสมุนไพรดังกล่าวนั้นมีฝอยทองอยู่ด้วย และได้พบว่ายาสมุนไพรดังกล่าวสามารถใช้รักษาภาวะไขมันในเลือดสูง ภาวะความดันโลหิตสูง และใช้รักษาโรคต่อมลูกหมากได้ผลดี

ประโยชน์ของฝอยทอง

  • ลำต้นนำมาต้มหรือลวกรับประทานเป็นอาหาร ใช้เป็นผักจิ้มกับน้ำพริก ใช้ยำใส่มะเขือ หรือนำมาชุบแป้งทอดรับประทานร่วมกับน้ำพริกกะปิ

 

คำสำคัญ : ฝอยทอง

ที่มา : https://medthai.com/

รวบรวมและจัดทำข้อมูล : กาญจนา จันทร์สิงห์


สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มาหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. (2563). ฝอยทอง. สืบค้น 27 กรกฎาคม 2567, จาก https://arit.kpru.ac.th/ap2/local/?nu=pages&page_id=1730&code_db=610010&code_type=01

Facebook Twitter LINE Linkedin

PDF

https://arit.kpru.ac.th/ap2/local/?nu=pages&page_id=1730&code_db=610010&code_type=01

Google search

Mic

ผักกาดขาว

ผักกาดขาว

ผักกาดขาวเป็นผักที่มีเส้นใยสูงมาก โดยเส้นใยที่ว่านี้เป็นเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำ แต่จะพองตัวเมื่อมีน้ำ จึงมีความสามารถในการอุ้มน้ำได้เป็นอย่างดี ซึ่งการอุ้มน้ำได้ดีนี้จะช่วยเพิ่มปริมาตรของกากอาหาร ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ทำให้กากอาหารอ่อนนุ่ม ขับถ่ายสะดวก และยังช่วยแก้อาการท้องผูกอีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความหนืด ทำให้ไม่ถูกย่อยได้ง่าย ช่วยดูดซับและแลกเปลี่ยนประจุ จึงช่วยป้องกันและกำจัดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยดึงเอาสารพิษที่ปนเปื้อนในอาหารที่รับประทาน ช่วยลดความหมักหมมของลำไส้ จึงมีผลทำให้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้เป็นอย่างดี

เผยแพร่เมื่อ 09-07-2020 ผู้เช้าชม 13,914

ตำแยแมว

ตำแยแมว

ตำแยแมวเป็นพรรณไม้ล้มลุกชนิดหนึ่งซึ่งขยายพันธุ์ด้วยวิธีการปักชำและการแยกต้น ชอบขึ้นตามที่ดินเย็นๆ พบขึ้นเป็นวัชพืชตามที่รกร้างทั่วไป และตามที่มีอิฐปูนเก่าๆ ผุๆ โดยทั้งต้นใช้เป็นยาถอนพิษของโรคแมวได้ดี มีผู้ค้นพบว่าในขณะที่แมวไม่สบายหรือมีไข้ หากมันได้เคี้ยวลำต้นของตำแยแมวเข้าไป ไม่นานก็จะหายจากอาการไข้ได้ และในขณะเดียวกันถ้าแมวนั้นกินสารที่มีพิษเข้าไป ก็แก้โดยการให้กินต้นตำแยแมวเข้าไป แล้วมันก็จะอาเจียนหรือสำรอกพิษออกมา

เผยแพร่เมื่อ 25-02-2017 ผู้เช้าชม 4,192

ตะคร้อ

ตะคร้อ

ตะคร้อเป็นไม้ยืนต้น ขนาดใหญ่ สูงประมาณ 15-25 เมตร ลำต้นสั้น ไม่กลมเหมือนไม้ยืนต้นชนิดอื่น เป็นปุ่มปมและพูพอน แตกกิ่งแขนงต่ำ กิ่งแขนงคดงอ เปลือกสีน้ำตาลแดง น้ำตาลเทา แตกเป็นสะเก็ดหนา เปลือกในสีน้ำตาลแดงเรือนยอดเป็นพุ่มแผ่กว้าง รูปกรวยหรอรูปร่มทึบ กิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสีเทา ใบอ่อนสีแดงเรื่อๆ ใบออกเป็นช่อ เรียงสลับตามปลายกิ่ง ช่อใบยาว 20-40 ซม. แต่ละช่อมีใบย่อยรูปรี รูปไข่กลับออกจากลำต้นตรงข้ามหรือเยื้องกันเล็กน้อย 1-4 คู่ คู่ปลายสุดของช่อใบจะมีขนาดยาวและใหญ่สุด ขนาดใบกว้าง7-8 ซม. ยาว 16-24 ซม. แผ่นใบลักษณะ เป็นคลื่นเล็กน้อย ผิวใบเรียบ เนื้อใบหนา ปลายใบมน

เผยแพร่เมื่อ 13-02-2018 ผู้เช้าชม 24,102

ตะแบก

ตะแบก

ตะแบกนา (ตะแบกไข่, เปื๋อยนา, เปื๋อยหางค่าง) เป็นต้นไม้ผลัดใบ สูง 15 - 30 เมตร ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามหรือเยื้องกันเล็กน้อยใบอ่อนสีแดงมีขนสั้นอ่อนนุ่มปกคลุม ใบแก่ขนจะหลุดหายไป แผ่นใบรูปขอบขนานแกมรูปหอก กว้าง 5 - 7 เซนติเมตร ยาว 12 - 20 เซนติเมตร ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนสอบ ดอกสีม่วงอมชมพูต่อมาเปลี่ยนเป็นสีขาวหรือเกือบขาว ออกรวมกันเป็นช่อตามปลายกิ่ง ผล รูปรี ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ออกดอก กรกฎาคม - กันยายน ไม่แน่นอนแล้วแต่สภาพพื้นที่และสิ่งแวดล้อม เก็บเมล็ดได้ประมาณเดือน ธันวาคมขึ้นไป ผลแก่ จะแตกเพื่อโปรยเมล็ดในราวเดือน มีนาคม การขยายพันธุ์โดยเมล็ด

เผยแพร่เมื่อ 16-02-2017 ผู้เช้าชม 2,006

มะเขือเปราะ

มะเขือเปราะ

ต้นมะเขือเปราะ มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย จัดเป็นไม้พุ่ม ที่มีความสูงของต้นประมาณ 2-4 ฟุต มีอายุได้หลายฤดูกาล ใบมีขนาดใหญ่ ออกเรียงตัวแบบสลับ ออกดอกเดี่ยว ดอกมีขนาดใหญ่ เป็นสีม่วงหรือสีขาว ลักษณะของผลมีรูปร่างกลมแบนหรือเป็นรูปไข่ ผลเป็นสีขาวอมเขียว และอาจเป็นสีขาว สีเขียว สีเหลือง หรือสีม่วง ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่ปลูก ผลเมื่อแก่แล้วจะมีสีเหลือง ส่วนเนื้อในผลเป็นสีเขียวเป็นเมือก มีรสขื่น

เผยแพร่เมื่อ 10-07-2020 ผู้เช้าชม 10,033

เต็งหนาม

เต็งหนาม

ต้นเต็งหนาม จัดเป็นพรรณไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นผลัดใบ ลำต้นตั้งตรง มีความสูงได้ถึง 20 เมตร เรือนยอดไม่แน่นอน เปลือกต้นอ่อนเป็นสีเทาอ่อนหรือสีน้ำตาลเทา ผิวเรียบ ส่วนต้นแก่เปลือกต้นจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแก่ แตกเป็นร่องยาวและมีหนามแข็งขนาดใหญ่ขึ้นบริเวณลำต้น พบขึ้นทั่วไปในป่าดิบแล้ง ป่าผลัดใบ ที่โล่งแจ้ง และที่รกร้างว่างเปล่า ทั่วทุกภาคของประเทศ ที่ระดับความสูงประมาณ 600-1,100 เมตร

เผยแพร่เมื่อ 01-06-2020 ผู้เช้าชม 3,713

เขยตาย

เขยตาย

เขยตาย จัดเป็นพรรณไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงได้ประมาณ 2-4 เมตร แตกกิ่งก้านต่ำตั้งแต่โคนต้นเป็นพุ่มเตี้ย ลำต้นเป็นเหลี่ยม เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีน้ำตาลอมเทา ผิวลำต้นตกกระเป็นวงสีขาว ใบออกดกทึบ ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ตอนกิ่ง และปักชำ เป็นพืชในเขตร้อนของทวีปเอเชียและออสเตรเลีย พบได้ในอินเดีย พม่า จีนตอนใต้ ประเทศในแถบคาบสมุทรอินโดจีน สุมาตราและชวา ส่วนในประเทศไทยพบขึ้นตามป่าโปร่ง ป่าเบญจพรรณ ตามชายป่าและหมู่บ้าน

เผยแพร่เมื่อ 25-05-2020 ผู้เช้าชม 7,842

คูณ

คูณ

คูนเป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 15 เมตร เปลือกสีเทาอมน้ำตาล  ใบเป็นช่อ ช่อหนึ่งมีใบอ่อน 3-8 คู่ ก้านช่อใบยาว 7-10 ซม. แก่นช่อใบยาว 15-25 ซม. ใบย่อยรูปป้อม ๆรูปไข่ หรือรูปขอบขนานแกนรูปไข่ ปลายใบแหลม ฐานใบมน เนื้อไม้เกลี้ยงค่อนข้างบางเส้นใบแขนงใบถี่ โค้งไปตามรูปใบก้านใบอ่อน หูใบค่อนข้างเล็ก ออกเป็นช่อเป็นกลุ่มตามง่ามใบ ห้อยย้อยลงมาจากกิ่งช่อดอกค่อนข้างโปร่ง ก้านดอกย่อย ใบประดับยาว กลีบรองดอกรูปมนแกมไข่ ผิวนอกกลีบสีเหลือง ผลรูปทรงกระบอกยาว แขวนห้อยลงจากกิ่ง ผิวเกลี้ยงไม่มีขนฝักอ่อนมีสีเขียวและออกสีดำ เมื่อแก่จัดในฝักมีหนังเยื่อบาง ๆ ตามขวางของฝัก ตามช่องมีเมล็ดรูปมน แบนสีน้ำตาล

เผยแพร่เมื่อ 13-02-2018 ผู้เช้าชม 1,572

ชบา

ชบา

ชบา มีลักษณะเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ใบค่อนข้างมนรี มีปลายแหลม ขอบของใบเป็นจักเล็กน้อย และมีสีเขียวเข้ม เมื่อขยี้ใบจะเป็นเมือกเหนียว ดอกชบามีทั้งกลีบชั้นเดียวและหลายชั้น หากเป็นชั้นเดียวปกติจะมีกลีบดอก 5 กลีบ มีก้านเกสรอยู่ตรงกลางดอกหนึ่งก้าน ลักษณะของกลีบดอกชบาจะมีขนาดใหญ่ มีหลายสีไม่ว่าจะเป็น ขาว แดง แสด เหลือง ม่วง ชมพู และสีอื่นๆ โดยดอกชบาแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะคือ ดอกบานเป็นรูปถ้วย, ดอกบานเป็นรูปแผ่แบน, กลีบดอกบานแบบแผ่โค้ง และขยายพันธุ์ด้วยการปักชำ การติดตา และการเสียบยอด

เผยแพร่เมื่อ 26-05-2020 ผู้เช้าชม 14,077

มะตาด

มะตาด

มะตาด จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณ 10-20 เมตร เป็นไม้ไม่ผลัดใบ ลักษณะต้นเป็นทรงเรือนยอดทรงพุ่มกลมหรือรูปไข่ เป็นทรงพุ่มทึบ ลำต้นของมะตาดมักคดงอ ไม่ตั้งตรง และมักมีปุ่มปมปรากฏอยู่บนลำต้น ซึ่งจะเกิดจากร่องรอยของกิ่งแก่ที่หลุดร่วง ส่วนเปลือกต้นเป็นเปลือกหนา มีสีน้ำตาลอมแดงหรือสีทองแดง เมื่อแก่เปลือกต้นจะเปลี่ยนเป็นสีเทา และหลุดล่อนออกเป็นแผ่นบาง ๆ ส่วนการแตกกิ่งก้านของลำต้นจะไม่สูงจากพื้นดินมากนัก และการแตกกิ่งย่อยจะเกิดที่ส่วนปลายของยอดกิ่งหลัก ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ดและกิ่งตอน ต้นไม้มะตาดเป็นไม้ที่ทนต่อความแห้งแล้งและน้ำท่วมได้ดี 

เผยแพร่เมื่อ 13-07-2020 ผู้เช้าชม 9,122