กำแพงเพชร : สมัยธนบุรี

กำแพงเพชร : สมัยธนบุรี

เผยแพร่เมื่อ 24-02-2020 ผู้ชม 1,970

[16.3937891, 98.9529695, กำแพงเพชร : สมัยธนบุรี]

             พ.ศ. 2313 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระยาสุรบดินทร์ ข้าหลวงเดิมเป็นพระยากำแพงเพชร ล่วงมาถึงปีขาล 2313 มีข่าวมาถึงกรุรธนบุรีว่า เจ้าพระฝางให้ส่งกำลังลงมาลาดตระเวนถึงเองอุทัยธานี และเมืองชัยนาท เป็นทำนองว่าจะคิดลงมาตีกรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงมีรับสั่งให้เตรียมกองทัพจะยกไปตีเมืองเหนือในปีนั้น พระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จโดยกระบวนทัพเรือยกกำลังออกจากรุงธนบุรี เมื่อวันเสาร์ แรม 14 ค่ำ เดือน 8 ไปประชุมพล ณ ที่แห่งใดไม่ปรากฏหลักฐาน เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีปราบชุมนุมพระฝางได้แล้ว ก็เท่ากับได้เมืองเหนือกลับมาทั้งหมด พระองค์ได้ประทับจัดการปกครองเมืองเหนืออยู่ตลอดฤดูน้ำ เกลี้ยกล่อมราษฏรที่แตกฉานซ่านเซ็นให้กลับมาอยู่ตามภูมิลำเนาเดิม จัดการสำรวจไพร่พลในเมืองเหนือทั้งปวง พบว่า เมืองพิษณุโลกมีพลเมือง 15,000 คน เมืองสวรรคโลก มี 7,000 คน เมืองพิชัย รวมทั้งเมือง สวรรคบุรี มี 90,000 คน เมืองสุโขทัย มี 5,000 คน เมืองกำแพงเพชรและเมืองนครสวรรค์ มีเมืองละ 3,000 คนเศษ จากนั้นได้ทรงตั้งข้าราชการ ซึ่งมีบำเหน็จความชอบในการสงครามครั้งนั้น คือ พระยายมรามให้เป็นเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช อยู่สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลก พระยาพิชัยราชา ให้เป็นเจ้าพระยาพิชัยราชา สำเร็จราชการเมืองสวรรคโลก พระยาสีหราชเดโชชัย ให้เป็นประยาพิชัย พระยาท้ายน้ำ ให้เป็นพระยาสุโขทัย พระยาสุรบดินทร์ เมืองชัยนาท ให้เป็นพระยากำแพงเพชร พระยาอรุรักภูธร ให้เป็นพระยานครสวรรค์ เจ้าพระยาจักรี (แขก) นั่นอ่อนแอในสงคราม มีรังสั่งให้เอาออกเสียจากตำแหน่งสมุหนายก พระยาอภัยรณฤทธิ์ ให้เป็นพระยายมราช และให้บัญชาการมหาดไทยแทนสมุหนายกด้วย เมื่อจัดการหัวเมืองเหนือเสร็จแล้ว จึงเสด็จกลับกรุงธนบุรี 

ไทยตีเมืองเชียงใหม่ ครั้งที่ 2           
             พระเจ้ามังระทราบว่าพระเจ้ากรุงธนบุรี ยกกองทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ เกรงว่าไทยจะแข็งแกร่งขึ้น จึงคิดมาตีเมืองไทยให้ราบคาบอีกครั้งหนี่ง โดยยกกำลังลงมาจากเชียงใหม่ทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งยกมาทางด่านเจดีย์สามองค์ กำลังทั้งสองส่วนนี้จะยกมาบรรจบกันที่กรุงธนบุรี ดังนั้นจึงส่งกำลังเพิ่มเติมเข้ามาให้โปสุพลา แล้วให้โปสุพลาเป็นแม่ทัพยกลงมาจากเชียงใหม่ ส่วนกำลังที่จะยกมาทางด่านเจดีย์สามองค์นั้น พระเจ้าอังวะให้ปะกันหวุ่น ซึ่งได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าเมืองเมาะตะมะ ได้เป็นแม่ทัพ ประกันหวุ่นได้เตรียมการตั้งแต่ปีมะเส็ง พ.ศ. 2316 โดยให้เกณฑ์มอญตามหัวเมืองที่ต่อแดนไทย 3,000 คน มอบภารกิจให้แพกิจาคุมกำลัง 500 คน มาทำทางที่จะยกกองทัพเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ วางแผนตั้งยุ้งฉางไว้ตามเส้นทาง ตั้งแต่เชิงเขาบรรทัดด้านแดนพม่า มาถึงตำบลสามสบ ท่าดินแดงในแดนไทย         
             ครั้นนั้นมีพระยามอญเป็นหัวหน้า 4 คน คือ พระยาเจ่ง เจ้าเมืองเตริน เป็นหัวหน้ามาทำทางอยู่ในป่าเมืองเมาะตะมะ พม่าได้ทำทารุณกรรมพวกมอญด้วยประการต่าง ๆ พวกมอญโกรธแค้นจึงคบคิดกันกับแพกิจากับทหารพม่าฆ่าเสีย แล้วรวมกำลังกันยกกลับไป มีพวกมอญมาเข้าด้วยเป็นอันมาก เมื่อเห็นเป็นโอกาสจึงยกไปตีเมืองเมาะตะมะได้ แล้วขยายผลยกขึ้นไปตีเมืองสะโตง และเมืองหงสาวดีได้ทั้งสองเมือง แล้วขยายผลต่อไปโดยเข้าตีเมืองย่างกุ้ง รบพุ่งติดพันกับพม่าอยู่ พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ทรงเห็นว่าพม่าจะต้องปราบปรามมอญอยู่นาน เป็นโอกาสที่ไทยจะชิงตีเมืองเชียงใหม่ตัดกำลังพม่าเสียทางหนึ่งก่อน จึงมีรับสั่งให้เกณฑ์กำลังหัวเมืองฝ่ายเหนือมีจำนวน 20,000 คน ไปรวมพลรออยู่ที่บ้านระแหงแขวงเมืองตาก แล้วให้เกณฑ์คนในกรุงธนบุรี และหัวเมืองชั้นในเป็นกองทัพหลวง มีจำนวน 15,000 คน พระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จโดยกระบวนเรือออกจากพระนคร เมื่อวนอังคาร แรม 11 คำ เดือน 12 ปีมะเมีย พ.ศ.2317 ขึ้นไปทางเมืองกำแพงเพชร แล้วให้ประชุมทัพที่บ้านระแหง ตรงที่ตั้งเมืองตากปัจจุบัน พ.ศ.2318 ทัพพม่ายกมาตีเมืองกำแพงเพชรทางเมืองกำแพงเพชรเห็นเหลือกำลังจึงพากันหนีเข้าป่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงยกกองทัพมาช่วยขับไล่พม่าแต่พ่ายกลับไป เหตุการณ์ช่วยนี้มีความน่าสนใจตามความเชื่อของชาวบ้านที่กำแพงเพชรเกี่ยวกับที่หลบภัยของกษัตริย์หรืออุโมงค์ 32 ปล่องและสระมรกต เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าตากทรงกู้เอกราชได้ แต่ยังต้องทำศึกสงครามกับพม่า ซึ่งในตอนหนึ่งประมาณ พ.ศ.2318 พม่ายกทัพเข้ามาตีเมืองกำแพงเพชรนับหมื่นคน พระยาสุรบดินทร์เจ้าเมืองกำแพงเพชร เห็นเหลือกำลังจะสู้รบจึงเทครัวหนีเข้าป่าแล้วไปแจ้งข่าวยังสมเด็จพระเจ้าตาก พระองค์ท่านทรงให้ยกทัพหลวงมาปราบพม่าที่ตั้งอยู่ในเมืองกำแพงเพชร เมื่อพิจารณาถึงสถานที่หลบภัยของเจ้าเมืองกำแพงเพชรแล้ว อาจเป็นอุโมงค์ 32 ปล่องก็เป็นไป เพราะอยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปเกือบสิบกิโลเมตร ซึ่งในสมัยโบราณเป็นป่าทึบจึงใช้หลบภัยได้ง่าย

เหตุการณ์สำคัญในสมัยธนบุรี คือศึกอะแซหวุ่นกี้         
            อะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือ
         
            ในปีมะเมีย พ.ศ.2317 อะแซหวุ่นกี้ปราบปรามพวกมอญเสร็จสิ้นแล้ว เป็นแต่ยังรอกองทัพพม่าที่เข้ามาตามครัวมอญอยู่เมืองเมาะตะมะ จึงได้ขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าอังวะที่เมืองร่างกุ้ง และได้รับมอบหมายให้นายทัพมาตีเมืองไทย อะแซหวุ่นกี้เห็นว่าไทยทำศึกเข้มแข็งกว่าเก่า จึงคิดจะใช้แบบอย่างครั้งพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง คือยกกองทัพใหญ่เข้ามาตีหัวเมืองเหนือ ตัดกำลังไทยเสียชั้นหนึ่งก่อน  แล้วเอาเมืองเหนือเป็นที่มั่น ยกกำลังทั้งทางบกและทางเรือ ลงมาตีกรุงธนบุรีทางลำแม่น้ำเจ้าพระยา จึงพักบำรุงรี้พลอยู่ที่เมืองเมาะตะมะ แล้วมีคำสั่งไปยังโปสุพลา โปมะยุง่วน ซึ่งถอยหนีไทยไปอยู่ที่เมืองเชียงแสน ให้ยกกลับมาตีเมืองเชียงใหม่ให้ได้ตั้งแต่ในฤดูฝน แล้วให้เตรียมเรือรบ เรือลำเลียง และรวบรวมเสบียงอาหารลงมาส่งกองทัพอะแซหวุ่นกี้ ซึ่งจะยกเข้ามาในต้นฤดูแล้ง โปสุพลา โปมะยุง่วน จึงรวบรวมกำลังยกลงมาตีเมืองเชียงใหม่ เมื่อเดือน 10 ปีมะแม พ.ศ.2318 ทางฝ่ายพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงดำรัสให้มีตราสั่งเจ้าพระยาสุรสีห์ให้ยกกองทัพเมืองเหนือขึ้นไปช่วยเมืองเชียงใหม่ ให้เจ้าพระยาจักรีคุมกองทัพกรุงธนบุรีหนุนขึ้นไป มอบภารกิจให้ตีพม่าถอยจากเชียงใหม่แล้วให้เลยตามขึ้นไปตีเอาเมืองเชียงแสนไม่ให้พม่ามาอาศัยอีกต่อไป ฝ่ายเจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ ตั้งทัพอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ เมื่อได้ข่าวว่าพม่ายกกองทัพใหญ่เข้ามาทางด้านแม่ละเมา ก็รีบยกทัพกลับมาทางเมืองสวรรคโลก เมืองพิชัย ครั้นมาถึงเมืองพิษณุโลกจึงปรึกษากันถึงการสู้ศึก เจ้าพระยาจักรีเห็นว่าพม่ายกมาเป็นกองทัพใหญ่ กำลังฝ่ายไทยทางเหนือมีน้อยกว่าทางพม่าอยู่มาก จึงควรตั้งรับศึกในเมืองพิษณุโลก คอยกองทัพกรุงธนุบรียกขึ้นไปช่วย
             ฝ่ายกรุงธนบุรี ได้ข่าวว่าอะแซหวุ่นกี้ยกกองทัพใหญ่เข้ามาทางหัวเมืองเหนือ และขณะเดียวกันก็จะยกมาจากเมืองตะนาวศรี เข้ามาทางใต้อีกด้วย จึงมีดำรัสสั่งให้เกณฑ์กองทัพให้เจ้ารามลักษณ์หลานเธอ ซึ่งเป็นกรมขุนอนุรักษ์สงคราม คุมกำลังออกไปรักษาเมืองเพชรบุรี คอยป้องกันพม่าที่จะยกเข้ามาทางด่านสิงขร แล้วพระเจ้ากรุงธนบุรีก็เสด็จยกทัพหลวงมีกำลังพล 12,000 เศษ ออกจากกรุงธนบุรี เมื่อวันอังคาร แรม 11 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะแม ขึ้นไปรักศึกที่ยกมาทางหัวเมืองเหนอ เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จขึ้นไปถึงเมืองนครสวรรค์ ในชั้นต้นทรงจัดวางระบบการคมนาคมที่จะให้กองทรัพหลวงกับกองทัพที่เมืองพิษณุโลกไปมาถึงกันได้สะดวก มีรับสั่งให้พระยาราชาเศรษฐีคุมกำลังชาวจีน จำวน 3,000 คน ไปตั้งอยู่ที่เมืองนครสวรรค์ คอยระวังรักษาเส้นทางลำเลียงและระวังข้าศึกที่จะยกมาทางลำน้ำโขง แล้วพระองค์เสด็จยกกองทัพหลวงขึ้นไปทางลำน้ำแควใหญ่ไปถึงปากพิง แขวงเมืองพิษณุโลก เมื่อวันเสาร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 3 ให้ตั้งค่ายหลวงอยู่ที่ปากพิง ด้วยเป็นปางคลองลัดทางเรือไปมาระหว่างลำน้ำแควใหญ่ที่ตั้งเมืองพิษณุโลกกับลำน้ำยมที่ตั้งเมืองสุโขทัย อยู่ได้เมืองพิษณุโลกลงมาเป็นระยะทางเดินหนึ่งวัน แล้วให้แม่ทัพนายกองคุมกำลังไปตั้งค่ายสองฟากลำแม่น้ำเป็นระยะขึ้นไป แต่กองทัพหลวงถึงเมืองพิษณุโลกให้จัดกองตระเวนรักษาเส้นทางคมนาคมทุกระยะ และให้มีกองปืนใหญ่ทหารเกณฑ์หัดเตรียมไว้เป็นกองหน้า สำหรับสนับสนุนทั่วไป ในเวลาที่ต้องการได้ทันท่วงที ให้พระศรีไกรลาศคุมพล 50 คน ทำทางริมลำน้ำสำหรับเดินกองทัพแต่ปากพิง ผ่านไปตามค่ายที่ตั้งอยู่ ตลอดถึงเมืองพิษณุโลก         
            ฝ่ายกองมอญที่พระยาเจ่งคุมไปดักพม่าที่เมืองกำแพงเพชร ได้ซุ่มสกัดทางพม่าที่ยกไปจากเมืองสุโขทัย พม่าไม่รู้ตัวก็แตกหนี ยึดได้เครื่องศัตราวุธของข้าศึกมาได้ แต่พม่ามีกำลังมากกว่าพอกองหลังตามมาทัน พระยาเจ่งก็ต้องล่าถอย กองทัพพม่าที่ยกมาเมืองกำแพงเพชรนั้นอะแวหวุ่นกี้สั่งให้ลงมาตีเมืองนครสวรรค์ อันเป็นที่รวบรวมเสบียงอาหารของกองทัพไทย และได้ตัดกำลังฝ่ายไทยที่จะยกไปช่วยเมืองพิษณุดลกด้วย พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงให้กองทัพพระยาราชภักดีและพระยาพิพัฒน์โกษาถอยลงมาสมสบกองทัพพระยาราชาเศรษฐี รักษาเมืองนครสวรรค์ เมื่อกองทัพพม่าทราบว่า กองทัพไทยตั้งรักษาเมืองนครสวรรค์แข็งแรง จึงยับยั้งตั้งค่ายอยู่ที่เมืองกำแพงเพชร แล้วแต่งกองโจรเดินลัดป่าด้านตะวันตกอ้อมหลังเมืองนครสวรรค์ลงไปเมืองอุทัยธานี (เก่า) พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบความเคลื่อนไหวของข้าศึกว่าพม่าที่กำแพงเพชรตั้งค่ายอยู่ที่บ้านโนนศาลาค่ายหนึ่ง บ้านถลกบาตรค่ายหนึ่ง บ้านหลวงค่ายหนึ่ง ลัวแยกกำลังลงไปทางเมืองอุทัยธานีกองหนึ่ง ทรงเกรงว่าข้าศึกจะไปซุ่มดักทางคอยตีกองลำเลียงข้างใต้เมืองนครสวรรค์ลงมา จึงโปรดเกล้าให้แบ่งกำลังพลในกองทัพหลวง จำนวน 1,000 คน ให้เจ้าอนิรุทธเทวาบัญชาการทั่วไป แล้วแยกออกเป็นกองน้อยสามกอง กองที่หนึ่งให้ขุนอินทรเดช กองที่สองให้หลวงปลัดกับหลวงสรวิชิต นายด่านเมืองอุทัยธานีบังคับ กองที่สามให้เจ้าเชษฐกุมารบังคับ ยกกำลังมาคอยป้องกันการลำเลียงเสบียงอาหาร และเครื่องอาวุธยุทธภัรฑ์ ซึ่งส่งขึ้นไปจากทางใต้แล้วแบ่งคนกองอาจารย์ลงมาช่วยที่เมืองนครสวรรค์กับให้ลงไปตั้งอยู่บ้านคุ้งสำเภา แขวงเมืองชัยนาทอีกกองหนึ่ง ทางใต้เมืองพิษณุโลกก็ให้ถอนกองทัพพระยาโหราธิบดี หลวงรักษ์มณเฑียรจากบ้านท่าโรงลงมาตั้งค่ายที่โคกสลุตในแขวงเมืองพิจิตรให้พระยานครชัยศรีลงมาตั้งที่โพธิประทับช้าง คอยป้องกันนักลำเลียงที่จะขึ้นไปตามลำน้ำแขวงเมืองพิจิตร อะแซหวุ่นกี้ให้กะละโบคุ้มกำลังมาตีค่ายไทยที่ตั้งอยู่เหนือปางพิง ให้มังแยยางน้องชายคุมกำลังข้ามฟากมาโอบหลังกองทัพหลวงที่ปางพิงทางด้านตระวันออก ตั้งค่ายรายประชิดกองทัพหลวงหลายค่าย สู้รบกันอยู่หลายวัน พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระราชดำริเห็นว่าข้าศึกมีกำลังมากนัก จะตั้งสู้รบอยู่ที่ปากพิงต่อไปจะเสียที ครั้นถึงวันพฤหัสบดี แรม 10 ค่ำ เดือน 4 จึงให้ถอยทัพหลวงจากปากพิงมาตั้งมั่นอยู่ที่บางข้าวตอก แขวงเมืองพิจิตร กองทัพที่ตั้งรักษาตามระยะต่าง ๆ ก็ถอยตามทัพหลวงลงมาโดยลำดับหมดทุกกอง ฝ่ายเจ้าพระยาจักรีกับเจ้าพระยาสุรีสีห์เห็นว่าจะรักษาเมืองพิษณุโลกต่อไปไม่ได้ เพราะขัดสนเสบียงอาหาร ถ้าอยู่ช้าไปจะเสียทีแก่พม่าจึงตกลงให้เตรียมการทิ้งเมืองพิษณุโลกให้เปิดประตู้เมืองยกกำลังออกตีค่ายพม่าทางด้านตะวันออก ตีหักออกไปได้แล้วรีบเดินกองทัพไปทางบ้านมุงดอนชมพู ยกกำลังข้ามเขาบรรทัดไปตังรวบรวมรี้พลอยู่ที่เมืองเพชรบูรณ์ พม่าล้อมเมืองพิษณุโลกอยู่ 4 เดือน จึงได้เมือง อะแซหวุ่นกี้ก็ยกกำลังเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองพิษณุโลก เมื่ออะแซหวุ่นกี้ได้เมืองพิษณุโลกแล้วเห็นว่าเสบียงอาหารอัตคัดมาก จึงจัดกำลังสองกองให้มังเยยางูคุมมาทางเมืองเพชรบูรณ์ทัพหนึ่งให้ไปรวบรวมเอาเสบียงอาหารที่เมืองเพชรบูรณ์และเมืองหล่มศักดิ์ส่งไปให้กะละโบ่คุมกำลังอีกกองหนึ่งยกมาทางเมืองกำแพงเพชร เพื่อแสวงหาเสบียงอาหารเช่นเดียวกัน เมื่อกำลังทั้งสองกองยกไปแล้ว อะแซหวุ่นกี้ก็ได้รับท้องตราว่า พระเจ้ามังระสิ้นพระชนม์ จิงกูจาราชบุตรได้รับราชสมบัติ มีรับสั่งให้กองทัพกลับไปเมืองอังวะโดยเร็ว อะแซหวุ่นกี้จึงยกกองทัพกลับไปทางเมืองสุโขทัย เมืองตากไปออกทางด้านแม่ละเมา และสั่งให้กองทัพกะละโบ่ค่อยกลับไปพร้อมกับมังเยยางู พระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อทราบข่าวว่าอะแซหวุ่นกี้ได้เมืองพิษณุโลกแล้วเลิกทัพกลับไปก็ทรงโสมนัสพระทัยยิ่งนัก คงเป็นเพราะหวังพระทัยว่าเมื่อทัพพม่าสิ้นเสบียงหมดกำลังก็เมืองอยู่ในเงื้อมมือไทย พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ให้กองทัพติดตามข้าศึกเป็นหลายกอง ให้พระยาพิชัยกับพระยาพิชัยสงครามยกไปกองหนึ่ง ให้พระยาทุกขราษฏรเมืองพิษณุโลก หลวงรักษโยธา หลวงอัคเนศรเป็นกองหน้า พระยาสุรบดินทร์เป็นกองหลวงยกไปกองหนึ่ง ให้พระยาเทพอรชุน พระยารัตนพิมล พระยานครชัยศรียกไปกองหนึ่ง ให้พระยาธิเบศรบดีคุมพลอาสาจามยกไปกองหนึ่ง ทั้ง 4 กองนี้ ให้ไปตามตีกองทัพอะเซหวุ่นกี้ที่กลับไปทางเมืองตากแล้วให้พระยาพลเทพ หมื่นเสมอใจราษฏร์ หลวงเนาวโชติยกไปกองหนึ่ง พระยาราชภักดียกไปกองหนึ่งไปตามกองทัพมังเยยางู ซึ่งยอกไปทางเพชรบูรณ์ ให้พระยานนครสวรรค์กับพระยาสวรรคโลกยกไปตามกองทัพกาละโบ่ ซึ่งยกไปทางเมืองกำแพงเพชร ส่วนกองทัพหลวงอยู่รอรับครอบครัวราษฏรที่หนีออกมาจากเมืองพิษณุโลกอยู่ 11 วัน แล้วมีรับสั่งให้พระยายมราชมารักษาค่ายที่บางข้าวตอก คอยรวบรวมครอบครัวราษฏรต่อไป ครั้นถึงวันพฤหัสบดี แรม 14 ค่ำ เดือนหก ปีวอก พ.ศ.2319 ก็เสด็จยกทัพหลวงมาประทับอยู่ที่ค่ายบางแขม แขวงเมืองนครสวรรค์ กองทัพไทยที่ยกติดตามกองทัพทังเยยางูไปที่บ้านนายมใต้เมืองเพชรบูรณ์ก็เข้าโจมตีฝ่ายข้าศึกหนีขึ้นไปทางเหนือ เข้าไปในแดนล้านช้างแล้วกลับพม่าทางเมืองเชียงแสน กองทัพเจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ เมื่อทราบว่าพม่าเลิกทัพกลับไปก็ยกำลังจากเพชรบูรณ์ไปทางป่าพระพุทธบาทผ่านแขวงลพบุรีขึ้นไปตามตีพม่า พระเจ้ากรุงธนบุรีประทับอยู่ที่ค่ายหลวงตำบลบางแขม ครั้นถึงเดือน 7 ปีวอก พ.ศ.2319 ทรงทราบว่ามีพม่าตั้งอยู่ที่กำแพงเพชร ประมาณ 2,000 คน จึงมีรับสั่งให้กองทัพพระยายมรามเดินบกไปทางฝั่งแม่น้ำด้านทิศตะวันตกกองหนึ่ง ให้กองทัพพระยาราชสุภาวดียกขึ้นไปทางฟากตะวันออกกองหนึ่ง ให้พระยานครสวรรค์ ซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ บ้านโคนใต้เมืองกำแพงเพชรยกกำลังขึ้นไปสมทบกัน ณ วังพระธาตุ (เป็นวัดที่อยุ่นอกเขตเมืองไตรตรึงษ์) กับทัพพระยายมราชไปทางปากน้ำโบฟากตะวันตก และทัพพระยาราชสุภาวดีไปทางตะวันออกตามตีพม่าที่เมืองกำแพงเพชร 

ตีทัพพม่าที่เมืองกำแพงเพชร         
            ส่วนพระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จยกกองทัพหลวงขึ้นไปตั้งอยู่ที่ปากคลองขลุง ฝ่ายพม่าได้ยกหนีขึ้นไปทางเหนือ พระเจ้ากรุงธนบุรีก็เสด็จกลับคืนพระนคร เมื่อวันเสาร์ ขึ้น 14 คำ เดือน 7 กองทัพไทยไล่ตามตีกำลังพม่าที่ยังตกค้างอยู่ในไทยจนถึงเดือน 10 ปีวอก จึงขับไล่พม่าออกไปจากบ้านเดิมบางนางบวช แขวงเมืองสุพรรบุรีต่อกับเมืองนครสวรรค์ หนีออกไปทางด้านเจดีย์สามองค์ สมครามครั้งนี้ได้รบกันตั้งแต่เดือนอ้าย ปีมะแม พ.ศ. 2318 ถึงเดือน 10 ปีวอก พ.ศ. 2319 เป็นเวลา 10 เดือน
           ในสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงมีทะแกล้วทหารหาญคู่พระทัยหลายคน คือ
           1. พระยาสุรบดินทร์
           2. พระยาอนรุักษ์ภูธร
           3. พระยากำแหงสงคราม
           4. พระยาพิชัยดาบหัก
           5. พระยาท้ายน้ำ
           6. พระยาพิพิธราชา
           7. เจ้าพระยาจักรี (แขก)
           8. เจ้าพระยาพิชัยราชา (หรือพิไชยราชา)
           9. เจ้าพระยาสุรสีห์
           10. สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ

คำสำคัญ : กำแพงเพชร

ที่มา : กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร. (2557). ประวัติศาสตร์เมืองกำแพงเพชร ยุคหิน-ปัจจุบัน (เรียบเรียงจากการสัมมนาและทบทวน เมื่อวันที่ 27-28 กันยายน 2557). กำแพงเพชร: กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร.

รวบรวมและจัดทำข้อมูล : กาญจนา จันทร์สิงห์


สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มาหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. (2563). กำแพงเพชร : สมัยธนบุรี. สืบค้น 27 เมษายน 2567, จาก https://arit.kpru.ac.th/ap2/local/?nu=pages&page_id=1291&code_db=610001&code_type=01

Facebook Twitter LINE Linkedin

PDF

https://arit.kpru.ac.th/ap2/local/?nu=pages&page_id=1291&code_db=610001&code_type=01

Google search

Mic

ย้อนรอย “เที่ยวเมืองพระร่วง” ตอนที่ 2  (พระราชวัง,วัดพระแก้ว,วัดพระธาตุ)

ย้อนรอย “เที่ยวเมืองพระร่วง” ตอนที่ 2 (พระราชวัง,วัดพระแก้ว,วัดพระธาตุ)

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎุเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จมาเมืองกำแพงเพชรเป็นครั้งแรกเมื่อคราวล่องกลับจากเมืองเชียงใหม่ ่ในปี พ.ศ. 2448 เป็นเวลา 3 คืน 2 วัน ด้วยมีเวลาในครั้งนั้นน้อยอยู่ และไม่ค่อยได้มีโอกาสไปตรวจค้นทางโบราณคดีมากนัก จึงได้เสด็จขึ้นมาประพาสเมืองกำแพงเพชรอีกครั้งในช่วงวันที่ 14-18 มกราคม 2450 โดยประทับพักแรมอยู่ที่พลับพลาใกล้วัดชีนาเกา ซึ่งในครั้งนั้นได้มีการปลูกต้นสัก (ที่สวนสาธารณะเทศบาลฯ หลังธนาคารกรุงไทย) ไว้เป็นที่ระลึก และจารึกบันทึกเหตุการณ์เอาไว้ที่วงเวียนต้นโพธิ์ การเสด็จประพาสเมืองกำแพงเพชรของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎุเกล้าเจ้าอยู่หัวในครั้งที่ 2 นี้ได้ ทรงออกตรวจตราและวินิจฉัยข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของเมืองกำแพงเพชรเอาไว้อย่างมากมาย

เผยแพร่เมื่อ 25-02-2020 ผู้เช้าชม 1,164

เมืองไตรตรึงษ์ ตามร่องรอยแห่งตำนานและประวัติศาสตร์

เมืองไตรตรึงษ์ ตามร่องรอยแห่งตำนานและประวัติศาสตร์

บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงในเขตท้องที่ของจังหวัดกำแพงเพชร ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงถึงความเป็นอยู่ของชุมชน เคยเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณหลายเมืองด้วยกัน คือ เมืองแปป เมือง กำแพงเพชร เมืองชากังราว เมืองนครชุม เมืองคณฑี เมืองไตรตรึงษ์ เมืองเทพนคร ฯลฯ ซึ่งชื่อเมืองเหล่านี้พบตามจารึก ในเอกสารต่าง ๆ โดยแต่ละเมืองมี ความสำคัญแตกต่างกันไปตามยุคสมัย เหมือนอย่างเมืองไตรตรึงษ์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมโบราณระหว่างบ้านเมืองในแถบภาคกลางอย่างละโว้ อโยธยา และเมืองในเขตล้านนาอย่างหริภุญไชย เป็นเมืองสำคัญชั้น ลุงของกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยซึ่งเคยเข้ามาเป็นเจ้าครองเมือง และเป็นเมืองที่มีตำนานปรัมปราเรื่อง “ท้าวแสนปม” อันโด่งดัง

เผยแพร่เมื่อ 02-03-2020 ผู้เช้าชม 1,394

วัดเจ๊ก (วัดสามจีน ในโรงพยาบาลกำแพงเพชร)

วัดเจ๊ก (วัดสามจีน ในโรงพยาบาลกำแพงเพชร)

วัดเจ๊ก เป็นวัดสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เพราะสันนิษฐานจากพระประธาน เป็นพระพุทธรูปสมัยอู่ทอง ตั้งอยู่นอกเมืองกำแพงเพชร เป็นวัดขนาดใหญ่ขนาดเดียวกับวัดหลวงพ่อโม้ (หลวงพ่อโมลี)  มีอายุใกล้เคียงกัน และพระประธานใหญ่ก็มีขนาดใกล้เคียงกัน เป็นวัดร้างมาหลายร้อยปี ตั้งอยู่ท้ายเมืองกำแพงเพชร พบเพียงมีพระพุทธรูปที่เป็นพระประธานปรักหักพังตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว เจดีย์พังทลายเป็นเพียงแค่เนินดิน แต่เดิมไม่สามารถเดินทางจากในเมืองไปวัดเจ๊กได้ เพราะถนนเทศาไปสิ้นสุดบริเวณท่าควาย เป็นท่าน้ำที่มีดินเหนียวที่มีคุณภาพมาก (สมัยเป็นนักเรียน ราวพ.ศ. 2500 ไปนำดินเหนียวบริเวณท่าควายนี้มาเรียนการปั้นในโรงเรียนเสมอ จึงเห็นวัดเจ๊กบ่อย ๆ)

เผยแพร่เมื่อ 25-02-2020 ผู้เช้าชม 2,120

เมืองไตรตรึงษ์สมัยพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสต้น

เมืองไตรตรึงษ์สมัยพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสต้น

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2449 พระบาทสมเด็จพรจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 หรือพระพุทธเจ้าหลวงของปวงชนชาวไทย ได้เสด็จประพาสต้นหัวเมืองทางเหนือโดยมีจุดปลายปลายทางอยู่ที่เมืองกำแพงเพชร ในการเสด็จประพาสต้นในครั้งนั้นพระองค์ได้ทรงบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ  ที่ได้ทอดพระเนตรและทรงให้บันทึกเรื่องราวเอาไว้เป็นบทพระราชนิพนธ์เสด็จประพาสต้น ซึ่งมีเนื้อเรื่องบางตอนเกี่ยวข้องกับเมืองไตรตรึงษ์ ดังข้อความดังนี้

เผยแพร่เมื่อ 02-03-2020 ผู้เช้าชม 1,164

ในหลวงกับการเสด็จกำแพงเพชร ครั้งที่ 2 เสด็จวัดคูยาง

ในหลวงกับการเสด็จกำแพงเพชร ครั้งที่ 2 เสด็จวัดคูยาง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จพระราชดำเนินเมืองกำแพงเพชร เป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2514 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าสิริธร ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้ากฐินส่วนพระองค์ ณ วัดคูยาง อำเภอเมืองกำแพงเพชร และทรงถวายพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อเป็นทุนเริ่มต้นในการก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่

เผยแพร่เมื่อ 18-02-2020 ผู้เช้าชม 1,350

เมืองนครชุมล่มสลายกลายมาเป็นบ้านปากคลอง

เมืองนครชุมล่มสลายกลายมาเป็นบ้านปากคลอง

เมืองนครชุม เป็นเมืองโบราณ เดิมเป็นเมืองอิสระ มีกษัตริย์ปกครองตนเอง มีกำแพงเมืองใหญ่ก่อนร่วมอาณาจักรกับสุโขทัย สถาปนามาก่อนพุทธศักราช ๑๘๐๐ ได้ยกฐานเป็นเมืองลูกหลวงของอาณาจักรสุโขทัย (เมืองลูกหลวงหมายถึง เมื่อพระมหากษัตริย์สุโขทัยมีราชโอรสจะส่งมาปกครอง) เมืองนครชุมเจริญรุ่งเรืองสูงสุด ในสมัยของพญาลิไทกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย โดยเสด็จมาเมืองนครชุม และสถาปนา พระบรมสาริกธาตุ และพระศรีมหาโพธิ์ขึ้นที่เมืองนครชุมแห่งนี้ เมืองนครชุมเจริญรุ่งเรืองถึงราว พุทธศักราช ๒๐๐๐ เกิดน้ำกัดเซาะรวมทั้งเกิดไข้ป่าและโรคระบาด ทำให้เมืองนครชุม ถึงกาลล่มสลาย

เผยแพร่เมื่อ 17-04-2020 ผู้เช้าชม 3,208

จารึกลานเงินจารึกเรื่องการสร้างพระเครื่องและการอาราธนาพระเครื่องที่พบในเจดีย์พระบรมธาตุ นครชุม

จารึกลานเงินจารึกเรื่องการสร้างพระเครื่องและการอาราธนาพระเครื่องที่พบในเจดีย์พระบรมธาตุ นครชุม

เมื่อสมเด็จพุฒาจารย์(โต) ได้รื้อค้นพระเจดีย์พระบรมธาตุนครชุม ภายในกรุพบแผ่นลานเงินจารึกภาษาขอม กล่าวถึงตำนานการสร้างพระพิมพ์และวิธีการสักการบูชาพร้อมลำดับอุปเท่ห์ไว้พระพิมพ์ที่ได้จากกรุนี้คือ ว่ามีฤาษี ๑๑ ตน ฤาษีเป็นใหญ่ ๓ ตนฤาษีพิราลัยตนหนึ่ง ฤาษีตาไฟตนหนึ่งฤาษีตาวัวตนหนึ่ง เป็นประธานแก่ฤาษีทั้งหลาย จึงปรึกษากันว่าเราทั้งนี้จะเอาอันใดให้แก่พระยาศรีธรรมาโศกราช ฤาษีทั้ง ๓ จึงปรึกษาแก่ฤาษีทั้งปวงว่าเราจะทำด้วยฤทธิ์ ทำเครื่องประดิษฐานเงินทองไว้ฉะนี้ฉลองพระองค์จึงทำเป็นเมฆพัตร อุทุมพรเป็นมฤตย์พิศม์ อายุวัฒนะ

เผยแพร่เมื่อ 17-04-2020 ผู้เช้าชม 3,221

พญาลิไทกับตำนานประเพณีนบพระ เล่นเพลง

พญาลิไทกับตำนานประเพณีนบพระ เล่นเพลง

มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า พญาลิไท กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย เมื่อขึ้นครองราชย์ ณ กรุงสุโขทัย บรรดาหัวเมืองต่างๆ พากันแข็งเมือง ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของพญาลิไท เช่น เมืองบางพาน เมืองคณฑี เมืองนครชุม พญาลิไท จึงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง พระองค์ทรงนำพระบรมสารีริกธาตุ และพระศรีมหาโพธิ์ มาจากประเทศศรีลังกา มาแสดงความเป็นไมตรี เมื่อเมืองนครชุมรับไมตรี พญาลิไท จึงนำพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์พระบรมธาตุนครชุม ซึ่งเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์

เผยแพร่เมื่อ 16-04-2020 ผู้เช้าชม 2,001

ดอกไม้ประจำจังหวัดกำแพงเพชร

ดอกไม้ประจำจังหวัดกำแพงเพชร

ดอกพิกุล ดอกไม้ประจำจังหวัดกำแพงเพชร พิกุลเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางสูงประมาณ 8–15 เมตร เป็นพุ่มทรงกลมใบออกเรียงสลับกันใบมนรูปไข่ปลายแหลม ลักษณะโคนใบมน สอบขอบใบโค้งเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบเป็นมันสีเขียว ดอกเป็นดอกเดี่ยว ออกดอกเป็นกระจุกตามง่ามใบหรือยอด มีกลีบดอกประมาณ 8 กลีบ เรียงซ้อนกัน กลีบดอกเป็นจักรเล็กน้อย สีขาวนวลมีกลิ่นหอมมาก ผลรูปไข่หรือกลมรีผลแก่มีสีแสด เนื้อในเหลืองรสหวาน ภายในมีเมล็ดเดียว

เผยแพร่เมื่อ 30-08-2019 ผู้เช้าชม 4,756

ประวัติน้ำมันลานกระบือ

ประวัติน้ำมันลานกระบือ

 อำเภอลานกระบือ เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดกำแพงเพชร มีชื่อเสียงโดดเด่นหลายด้าน โดยเฉพาะการค้นพบแหล่งน้ำมันดิบ คือ "แหล่งน้ำมันสิริกิติ์" บ่อน้ำมันสิริกิติ์ ตั้งอยู่ที่บ้านเด่นพระ หมู่ที่ 4 บ้านหนองตาสังข์ ตำบลลานกระบือ อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร อยู่ห่างจากที่ว่าการ อำเภอลานกระบือ ไปตามเส้นทางถนนสายลานกระบือ-พิษณุโลก ประมาณ 7 กิโลเมตร

เผยแพร่เมื่อ 21-01-2020 ผู้เช้าชม 15,319