ตานก๋วยสลาก ประเพณีโบราณของคนไทย
เผยแพร่เมื่อ 20-06-2022 ผู้ชม 28,412
[16.4258401, 99.2157273, ตานก๋วยสลาก ประเพณีโบราณของคนไทย]
บทนำ
บรรยากาศของ “เมืองเหนือ” ชาวเมืองยังคงยึดถือวัฒนธรรม “แบบล้านนา” ทั้งทางด้านการแต่งกาย ภาษาพูด และขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งมีทั้งที่มาจากความเชื่อในลัทธิถือเจ้าถือผี เช่น การส่งเคราะห์ ส่งหาบส่งคอน ส่งปู่แถนย่าแถน สืบชะตาคน สืบชะตาข้าว สืบชะตาควาย (หลังสิ้นสุดการทำงาน) ประเพณีสงกรานต์ และความเชื่อในพุทธศาสนา เช่น การทำบุญตักบาตรในวันสำคัญทางพุทธศาสนา รวมไปถึงประเพณีตานก๋วยสลาก หรือประเพณีถวายสลากภัตของภาคกลาง
ประเพณีตานก๋วยสลาก หรือประเพณีกิ๋นข้าวสลาก เป็นประเพณีทำบุญโดยมิได้เลือกเจาะจงพระภิกษุ สามเณรรูปใดรูปหนึ่งของชาวล้านนา ลักษณะโดยทั่วไปคล้ายคลึงกับประเพณีถวายสลากภัตของชาวไทยภาคกลาง หากทางล้านนานิยมเป็นการทำบุญจตุปัจจัยถวายแด่พระสงฆ์ โดยมิต้องมีการทำบุญเป็นภัตตาหารต่าง ๆ เช่นเดียวกับภาคกลาง
ประเพณีตานก๋วยสลาก “กิ๋นก๋วยสลาก” หรือประเพณีสลากภัต มักจะจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี หรือจะจัดขึ้นในเดือน 11 เหนือ (คือเดือน 10 ใต้ เดือนกันยายน) และสิ้นสุดเอาในเดือนเกี๋ยงดับ (เดือน 11) ตานก๋วยสลากในกำแพงเพชรนั้นจะจัดขึ้น ณ สถานที่วัดน้ำโท้ง ตำบลท่าขุนราม อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งตานก๋วยสลากจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ ก๋วยน้อย และ ก๋วยใหญ่ซึ่งมีรายละเอียดแต่ละประเภท ดังนี้
1. ก๋วยน้อย
เป็นก๋วยสลากสำหรับที่จะถวายทานไปให้กับผู้ที่ล่วงลับ ซึ่งไม่เพียงแต่ญาติน้องเท่านั้นอาจจะเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายก็ได้ หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงที่เราเคยรักและมีคุณต่อเราเมื่อครั้งยังมีชีวิตเช่น ช้าง ม้า วัว ควายและสุนัข เป็นต้นหรือถ้าไม่รู้ว่าจะถวายทานไปให้ใครก็ถวายทานเอาไว้ภายหน้า (อารีย์ มั่นคง, 2562, ตุลาคม, 10)
2. ก๋วยใหญ่
เป็นก๋วยที่จัดทำขึ้นใหญ่เป็นพิเศษ บางครั้งเรียกว่า “ก๋วยโชค” ซึ่งจะบรรจุข้าวของได้มากขึ้น ถวายเป็นมหากุศลสำหรับคนที่มีกำลังศรัทธาและฐานะดี เป็นปัจจัยนับว่าได้กุศลแรง สลากที่มักจัดทำขึ้นเป็นพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ " สลากโชค" มักทำเป็นต้นสลากที่สูงใหญ่สำหรับที่จะนำเอาวัตถุสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ผูกมัดติดกับต้นสลากเช่น ผ้าห่ม ที่นอน หมอน หม้อนึ่ง ไหข้าว หม้อแกง ถ้วย ชาม ช้อน ร่ม เครื่องนุ่งห่ม อาหาร แห้งต่าง ๆ และเงินที่เป็นธนบัตรชนิดต่าง ๆ ต้นสลากจะมีการประดับตกแต่งให้สวยงามกว่าสลากธรรมดาในวันตานก๋วยสลาก ชาวบ้านจะนำเส้นสลากที่ทำมาจากใบตาล หรือใบลาน โดยเขียนชื่อผู้ถวายสลาก และผู้ที่จะอุทิศส่วนกุศลไปให้ นำไปกองรวมกัน ไว้ในวิหารหน้าพระประธานเมื่อเสร็จพิธีกรรมทางศาสนาแล้วเส้นสลากจะถูกนำมาแบ่งสันปันส่วนกันไป ในหมู่ของพระสงฆ์ที่ได้นิมนต์มาจากวัดต่าง ๆ ส่วนหนึ่งจะถูกแบ่งให้วัดที่เป็นเจ้าภาพ ก่อนจะถึงเวลาเพล พระสงฆ์ และสามเณรก็จะนำเอาเส้นสลากไปอ่าน ซึ่งจะมีการเรียกชื่อหาเจ้าของสลากนั้น ๆ ว่านั่งอยู่ที่ใด เมื่อพบแล้วจะมีการให้ศีลให้พรมีการหยาดน้ำอุทิศ ส่วนบุญกุศลไปให้กับผู้ที่ล่วงลับเป็นเสร็จพิธี (อารีย์ มั่นคง, 2562, ตุลาคม 10)
ประวัติความเป็นมาของประเพณีตานก๋วยสลาก
ในสมัยพุทธกาล ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับ ณ พระเชตะวันมหาวิหารนั้น วันหนึ่งนางกุมารีผู้หนึ่งได้อุ้มลูกชายวิ่งหนีนางยักขินีผู้มีเวรต่อกันหลายชาติแล้ว ติดตามมาจะทำร้ายลูกของนาง นางเห็นจวนตัวจะวิ่งหนีไปที่อื่นไม่ได้ จึงพาลูกวิ่งเข้าไปในพระเชตวัน เข้าไปในพระวิหารขณะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ นางเอาลูกน้อยวางแทบพระบาทแล้วกราบทูลว่า “ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญ ขอทรงโปรดเป็นที่พึ่งแก่ลูกชายของหม่อมฉันเถิดพระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าหยุดพฤติกรรมที่จองเวรของนางกุมาริกา และนางยักษ์ขินีด้วยการตรัสคำสอนว่า “เวรย่อมไม่ระงับด้วยเวร เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ธรรมนี้เป็นของโบราณ ” แล้วทรงให้นางทั้งสองเห็นผิดชอบชั่วดี นางยักษ์ขินีรับศีล 5 แล้วนางก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น กราบทูลพระพุทธเจ้าว่านางไม่รู้จะไปทำมาหากินอย่างไรเพราะรักษาศีลเสียแล้ว นางกุมาริกาจึงรับอาสาจะพานางไปอยู่ด้วย นางได้รับอุปการะจากนางกุมาริกาหลายประการ นึกถึงอุปการะอยากจะตอบแทนบุญคุณ จึงเป็นผู้พยากรณ์บอกกล่าวเรื่อง อุตุนิยมวิทยา คือ บอกให้นางกุมาริกาทำนาในที่ดอนในปีฝนมาก ทำนาในที่ลุ่มในเวลาฝนแล้ง นางกุมาริกาได้ปฏิบัติตามทำให้ฐานะร่ำรวยขึ้นยิ่งกว่าคนอื่น ๆ ในระแวกนั้น คนทั้งหลายมีความสงสัยจึงมาถามหานางกุมาริกาว่าเป็นอย่างไร ได้รับคำตอบว่า นางยักษ์ขินีเป็นผู้บอกกล่าวให้ คนทั้งหลายจึงพากันไปหานางขอบอกให้อย่างเดียวกับนางกุมาริกา คนทั้งหลายได้รับอุปการะจากนางยักษ์ขินีจนมีฐานะร่ำรวยไปตาม ๆ กัน ด้วยความสำนึกในบุญคุณ จึงพากันนำเอาเครื่องอุปโภคบริโภคอาหารการกินเครื่องใช้สังเวยอยู่เป็นอันมาก ข้าวของที่สำนักนางยักษ์ขินีจึงมีมากเหลือกินเหลือใช้ นางจึงนำมาทำเป็นสลากภัตร โดยให้พระสงฆ์กระทำการจับตามเบอร์ด้วยหลักของอุปโลกนกรรม คือ ของที่ถวายมีทั้งของมีราคามาก ราคาน้อย พระสงฆ์องค์ใดได้ของมีค่าน้อยก็อย่าเสียใจ ให้ถือว่าเป็นโชคของตนดีหรือไม่ดี การถวายแบบจับสลากของนางยักษ์ขินีนี้นับเป็นครั้งแรกแห่งประเพณีทำบุญสลากภัตร หรือทานสลากในพระพุทธศาสนา (พนมกร นันติ, 2558)
ตานก๋วยสลากในภาคเหนือ คือสลากภัตในภาคกลางเป็นประเพณีเก่าแก่ในพระพุทธศาสนาของชาวล้านนาที่อพยพมาอยู่ที่บ้านน้ำโท้ง ตำบลท่าขุนราม อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร หลายชั่วอายุคนมีชื่อเรียกแตกต่างกันแต่ละท้องถิ่น คือกินก๋วยสลาก กินสลาก ตานก๋วยสลาก ตานสลากย้อมหรือสลากพระอินทร์ ซึ่งนิยมทำกันในช่วงราวปลายเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม และจะทำถี่กันมากในเดือนกันยายน เพราะถือว่าเดือนนี้จะเป็นเดือนที่ชาวบ้านจะลำบากเรื่องอาหารการกิน เพราะปลายฤดูทำนา ข้าวปลาอาหารขาดแคลน เมื่อคนทั่วไปอดอยากจึงคิดถึงผู้เป็นญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว คงไม่มีเครื่องอุปโภคบริโภคเช่นกัน จึงร่วมกันทำพิธีทำบุญทำทานโดยจัดอาหารการกิน เครื่องใช้ที่จำเป็นไปถวายแก่พระสงฆ์ เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติ ที่ล่วงลับไปแล้วและเป็นอานิสงส์สำหรับตนเองในโลกหน้า การทำบุญสลากภัตจะไม่จำเพาะเจาะจงจะถวายภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง จึงนำสลากที่เขียนคำอุทิศในใบสลาก แล้วนำไปรวมกันให้พระภิกษุสามเณรจับสลาก หากว่าภิกษุหรือสามเณรรูปใดจับสลากได้ ก๋วยสลากหรือภาชนะที่บรรจุเครื่องไทยทานอันไหนก็จะยกถวายแก่รูปนั้น บรรยากาศ แห่งการไปถวายก๋วยสลาก นับว่าน่าชมมาก คือ พระภิกษุที่ได้สลากแล้ว จะไปนั่งยังแต่ร่มไม้ใน แต่ละที่ วางสลากไว้ด้านหน้าประชาชนจะมาดูสลากของตน แล้วจะนำก๋วยถวาย พระภิกษุ พระภิกษุจะกรวดน้ำให้พรเป็นรายๆไปข้อความในสลาก จะกล่าวถึงญาติพี่น้องเจ้ากรรมนายเวรที่ล่วงลับไปแล้ว รับพรพระทุกคน นับว่าเป็นกลวิธีที่แยบยลมาก ที่ให้ประชาชน ได้ร่วมใจมาทำบุญกันอย่างล้นหลาม
ส่วนสลากอุ้ม มีขนาดใหญ่ พระภิกษุต้องเดินมารับเอง ณ ที่ตั้งที่ประชาชนตั้งไว้ สลากอุ้มจะถวายวัดพระภิกษุแต่ละวัดไปส่วนสลากที่เรียกว่าสลากคุ้ม แต่ละกลุ่มบ้านจะจัดทำสลากคุ้มมาถวายพระแห่แหนกันมาเป็นสลากขนาดใหญ่ ตามธรรมเนียมจะถวายวัดที่จัดงานทั้งหมด
ส่วนที่ประกอบเป็นก๋วยสลาก จะเป็นของที่จะเป็นใช้สำหรับประชาชนจริง ๆ เช่นพริก เกลือ ข้าวสาร ข้าวเปลือก มะนาว ผลไม้รสเปรี้ยวรสหวาน อาหารที่พอหาได้ในหมู่บ้าน และบางก๋วยยังมีหมากพลู บุหรี่ ข้าวต้มมัด ขนมสมัยโบราณนานาชนิด บางบ้านมีฐานะ จัดให้มีเงิน ใส่มาด้วย นับว่าเป็นการรักษาวัฒนธรรมอันดีงาม สืบต่อกันมาอย่างน่าสรรเสริญ
ความกตัญญูกตเวที ที่มีต่อ บรรพบุรุษ การรู้จักทำบุญให้ทาน แก่บุคลที่ไม่รู้จัก เป็นทานที่ยิ่งใหญ่มาก นับเป็นภูมิปัญญาชาวเหนือ ที่ชาวบ้านน้ำโท้ง รักษาไว้ได้อย่างงดงาม ท่ามกลางกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่มิอาจขวางกั้นได้ ประชาชนส่วนใหญ่ ทำบุญด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิได้ทำเพื่อให้เสร็จ ทุกคนอิ่มเอิบและมีความสุข อย่างที่สุด ภาพการเอื้อเฟื้อ จริงใจ ที่หายไปจากในตัวเมือง ยังปรากฎอยู่ในชนบท ที่ชัดเจน งดงามและเป็นธรรมชาติมากที่สุด เมื่อได้ชมแล้วอดที่จะปลื้มใจมิได้ว่า กำแพงเพชรเรายังมีประเพณีที่งดงามอยู่ แม้มิใช่สถานที่เกิดประเพณีก็ตาม (ประจวบ ชุมภู, 2562, ตุลาคม, 10)
ความสำคัญของประเพณีตานก๋วยสลาก
ประเพณีตานก๋วยสลาก หมายถึง ประเพณีถวายทานสลากภัต เป็นวิธีการถวายเครื่องไทยทานแก่พระสงฆ์วิธีหนึ่งอันเป็นที่นิยมของชาวเหนือ โดยทั่วไปจะเริ่มใน วันเพ็ญ เดือน 12 เหนือ (กันยายน) ถึงแรม 1 ค่ำ เดือนเกี๋ยงดับ (พฤศจิกายน) เมื่อทางวัดและชาวบ้านตกลงกันว่าจะจัดให้มีการกินสลาก ก่อนวันตานก๋วยสลาก ชาวบ้านจะจัดทำพิธีเตรียมสิ่งของเครื่องไทยทาน 1 วัน เรียกวันที่เตรียมของนี้ว่า “วันดา” ชาวบ้านจะจัดเครื่องไทยทานลงใน “ก๋วย” เป็นตระกร้าหรือชะลอมขนาดเล็กที่สานด้วยไม้ไผ่ เรียกว่า “ก๋วยสลาก” แล้วนำของไทยทานจำพวกข้าวสารอาหารแห้งบรรจุลงไป บางวัด จะจัดเครื่องไทยทานลงในหม้อดินเผา แต่ในปัจจุบันก็อาจจะมีการดัดแปลงจาก “ก๋วยสลาก” มาเป็น “ถังพลาสติก” บรรจุเครื่องไทยทานเหมือนกับที่เรานิยมใช้กันทั่วไป นอกจากนี้อาจจะมีการตกแต่งเครื่องไทยทานเป็นต้นกัลปพฤกษ์ ซึ่งทำด้วยไม้ไผ่สูงตามต้องการ นำไม้ไผ่เหลาและทำเป็นวงกลมทำเป็นชั้น ๆ อาจเป็น 3 ชั้น , 5 ชั้น , 7 ชั้น หรือ 9 ชั้น แต่ละชั้นนำสิ่งของที่จะใช้เครื่องไทยทานมาผูกติดให้สวยงาม ส่วนบนสุดจะนิยมนำร่มมาเสียบไว้ และใช้ธนบัตรผูกติดตามขอบร่มตามศรัทธาของเจ้าของกัณฑ์สลาก
คำว่า “ก๋วย” แปลว่า ภาชนะสาน ประเภทตะกร้าหรือชะลอม ตานก๋วยสลากจึงหมายถึงการถวายทานด้วยวิธีการจับสลากเครื่องไทยทานที่บรรจุมาในชะลอม โดยการถวายตานก๋วยสลากนี้มีจุดมุ่งหมาย 2 อย่างด้วยกันคือ อย่างหนึ่งเป็นการอุทิศให้เทพยดาและผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และอีกอย่างหนึ่งเป็นการอุทิศไว้ให้ตนเองเมื่อล่วงลับไปในภายหน้า การถวายก๋วยสลากถือกันว่าจะได้อานิสงส์แรง เพราะเป็นการทำบุญแบบสังฆทานผู้ถวายไม่ได้เจาะจงตัวผู้รับว่าจะเป็นพระภิกษุหรือสามเณรรูปใด รูปหนึ่ง
"สลาก" หมายถึง เครื่องหมายหรือวัตถุที่ใช้ในการเสี่ยงโชค เช่น สลากภัต ก็ได้แก่อาหารที่เขาถวายสงฆ์โดยเขียนชื่อเจ้าศรัทธาลงบน "เส้นสลาก" เมื่อพระภิกษุจับได้สลากของผู้ใดก็ได้รับ 'สลากภัต' ของเจ้าศรัทธานั้น
การตานก๋วยสลากของชาวล้านนานิยมปฏิบัติกันตั้งแต่วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เหนือ ถึงเดือนยี่เหนือหรือประมาณตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี สาเหตุที่ถือปฏิบัติกันเช่นนี้ก็เพราะว่า เป็นช่วงที่ชาวบ้านได้ทำนากันเสร็จแล้ว ได้หยุดพักผ่อน พระสงฆ์ก็จำพรรษาอยู่วัด ไม่ได้ไปไหนและบวกกับในช่วงเวลานี้ก็มีผลไม้สุก เช่น ลำไย มะไฟ สมโอ เป็นต้นเมื่อต้นข้าวในนาเริ่มเขียวขจีชาวนาที่มีฐานะไม่ค่อยดีการดำรงชีวิตก็เริ่มขัดสนเมื่อข้าวในยุ้งก็หมดก่อนฤดูกาลเก็บเกี่ยวจะมาถึง ดังนั้นการตานก๋วยสลากในช่วงนี้จึงเท่ากับว่าได้สงเคราะห์คนยากคนจนเป็นสังฆทานได้กุศลแรง
ก่อนจะถึงวันตานก๋วยสลาก 1 วันเขาเรียก "วันดา" วันนี้จะเป็นวันที่ชาวบ้านได้จัดเตรียมข้าวของ ไม่ว่าจะเป็นของกินหรือของใช้ต่าง ๆ สำหรับที่จะนำมาจัดทำใส่ก๋วยสลาก และวันนี้มักจะมีญาติสนิทมิตรสหายที่อยู่ต่างบ้านมาร่วมจัดดาสลากด้วย ซึ่งถือเป็นประเพณีที่จะได้ทำบุญร่วมกัน ผู้ชายจะเป็นคนสานก๋วยสลาก สำหรับที่จะบรรจุใส่ของกินของใช้ต่าง ๆ โดยจะกรุด้วยใบตองไว้ข้างใน เมื่อใส่สิ่งของเสร็จจะรวบปากก๋วยมัดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะมีไม้ไผ่เหลาเป็นก้านเล็ก ๆ สำหรับเสียบสตางค์,กล่องไม้ขีดไฟ,บุหรี่ เพื่อทำเป็นยอดก๋วยสลากจะมากน้อยบ้างตามแก่กำลังศรัทธาและฐานะ (ปิโยรส ปรียานนท์, 2011)
รูปแบบประเพณี
ตานก๋วยสลากอาจแบ่งได้เป็นสามชนิด คือ
1. สลากเฉพาะวัด เรียกว่า สลากน้อย
2. สลากที่นิมนต์พระจากวัดอื่น ๆ มาร่วมพิธีด้วยเรียกว่า สลากหลวง
3. สลากที่ทำเมื่อฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาลเพื่อถวายกุศลแด่พระอินทร์ และเทพยดาต่าง ๆ เป็นการขอฝนเรียกว่าสลากขอฝน หรือสลากพระอินทร์
พิธีกรรมส่วนใหญ่ของตานก๋วยสลากแต่ละชนิดจะคล้ายคลึงกัน มีเพียงรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้นที่แตกต่างออกไปในวันดา ซึ่งเป็นวันเตรียมงาน ผู้ชายจะช่วยกันสานก๋วยไว้จำนวนหนึ่ง ส่วนฝ่ายหญิงก็จะจัดเตรียมเครื่องไทยทานที่จะบรรจุลงในถ้วย อาทิ ข้าวสาร พริก หอม กระเทียม เกลือ อาหาร ตลอดจน ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ตามแต่ศรัทธา ในการเตรียมเครื่องไทยทานนี้มักจะมีญาติมิตรมาขอร่วมทำบุญด้วย เรียกว่า ฮอมครัว นอกจานั้นในแต่ละก๋วยจะมียอดคือ ธนบัตรตามแต่ศรัทธาประดับไว้ด้วย ที่สำคัญก็คือเจ้าของก๋วยจะต้องเขียนชื่อของตนและคำอุทิศไว้ในใบลานหรือกระดาษเล็ก ๆ ขนาดกว้าง 12 นิ้ว เรียกว่า เส้นสลาก เมื่อได้เวลาชาวบ้านจะนำเส้นสลากนี้ไปรวมกันไว้แล้วแบ่งถวายพระภิกษุสามเณรไปโดยไม่เจาะจง จากนั้นจึงจะมีผู้ขานชื่อในเส้นสลากแต่ละเส้นดัง ๆ เจ้าของก็จะนำเอาก๋วยของตนไปถวายพระภิกษุหรือสามเณรตามสลากนั้น ๆ พระจะอ่านข้อความในเส้นสลาก และกล่าวอนุโมทนาเป็นอันเสร็จพิธี (มณี พะยอมยงค์, 2557)
จุดเด่นของพิธีกรรม
เนื่องจากการจัดพิธีตานก๋วยสลากนี้ มีจัดกันในภาคเหนือทั่วไป แต่ละแห่งแต่ละวัดก็จะมีจุดเด่นของพิธีกรรมแตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไปจุดเด่นที่สุดของพิธีกรรมนี้จะอยู่ที่คัวตานใหญ่ที่จัดเป็นตานกลางถวายแก่วัด ซึ่งอาจจะมีการจัดขบวนแห่คัวตานให้สวยงามเอิกเกริกและยิ่งใหญ่ด้วยขบวนฟ้อนรำต่าง ๆ ด้วยประเพณีตานก๋วยสลาก คือ การทำบุญสลากภัตรในล้านนาไทย มีเรียกชื่อแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นบางแห่งว่า “กิ๋นก๋วยสลาก” บางแห่ง “กิ๋นสลาก” บางแห่งว่า “ตานก๋วยสลาก” ในความหมายเป็นอย่างเดียวกัน สำหรับวิธีการทำบุญมีแตกต่างกันไปตามความนิยมในท้องถิ่นของตน (ฮีตฮอยคนเมือง วิถีชีวิตคนล้านนา, 2015, เมษายน, 20)
ประเพณีตานก๋วยสลากในปัจจุบัน
ประเพณีการ “ทานข้าวสลาก” หรือ กิ๋นก๋วยสลาก” ตามสำเนียงพูดของเมืองเหนือนี้ หมายถึงประเพณีทานสลากภัตร เป็นประเพณีที่ชาวเหนือถือสืบเนื่องมานานแล้ว การถวายก๋วยสลากจะเริ่มในราวเดือน 12 เหนือ (คือเดือน 10 ใต้ เดือนกันยายน) และสิ้นสุดเอาในเดือนเกี๋ยงดับ (เดือน 11 ใต้) การก๋วยสลาก (หรือบางแห่งเรียกว่า ตานข้าวสลาก) สลากภัตรของทางเมืองเหนือ ประกอบด้วย
1. สลากน้อย คือ สลากกระชุเล็ก
2. สลากก๋วยใหญ่ คือ สลากโชค
สลากก๋วยเล็ก ใช้ถวายอุทิศแด่ผู้ตาย หรือทำบุญเพื่อเป็นกุศลในภายภาคหน้า ส่วน สลากก๋วยใหญ่ ใช้ถวายเนมหากุศลสำหรับบุคคลผู้มีกำลังศรัทธา และร่ำรวยเงินทอง ทำถวายเพื่อเป็นปัจจัยให้มีบุญกุศลมากขึ้น พิธีถวายสลากภัตร ที่นิยมมี 3 ประการ คือ
1. สลากเอาเส้น ซึ่งประชาชนจับสลาก แล้วนำไทยทานไปถวาย
2. สลากที่พระสงฆ์จับสลากเอง
3. สลากย้อม ซึ่งนิยมทำกันในกลุ่มไทยยอง ซึ่งหญิงสาวภายในหมู่บ้านจัดถวายเป็นประเพณี
ขั้นตอนประเพณีตานก๋วยสลาก
ก่อนวันทำพิธี “ทานก๋วยสลาก” 1 วัน เรียกว่า “วันดา” คือ เป็นวันจัดเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ไทยทาน พวกผู้ชายก็จะจัดการจักตอกสาน “ก๋วย” (ตระกร้า) ไว้หลายๆ ใบ บางครอบครัวอาจจะทำหลายสิบลูก แล้วแต่ศรัทธาและกำลังทรัพย์จะอำนวยให้ ทางฝ่ายหญิงก็จะจัดเตรียมห่อของกระจุกกระจิก เช่น ข้าวสาร พริก หอม กระเทียม เกลือ กะปิ ปลาร้า ขนมต้ม และ อาหาร เช่น ห่อหมก (ทางเหนือเรียกว่าห่อนึ่ง) ชิ้นปิ้ง (เนื้อทอด) เนื้อเค็ม หมาก เมี่ยง บุหรี่ ไม้ขีดไฟ เทียนไข สีย้อมผ้า ผลไม้ต่าง ๆ เครื่องใช้สอยต่าง ๆ ตามแต่ศรัทธาและฐานะ สิ่งของต่าง ๆ เหล่านี้จะบรรจุลงในก๋วยซึ่งกรุด้วยใบตอง หรือกระดาษสีต่าง ๆ เมื่อจัดการบรรจุสิ่งของต่าง ๆ ลงในก๋วยเรียบร้อยแล้ว ก็จะเอา “ยอด” คือ สตางค์ หรือ ธนบัตร ผูกติดไม้เรียวเสียบไว้ “ยอด” ที่ใส่นั้นไม่จำกัดว่าเท่าใด แล้วแต่กำลังทรัพย์และศรัทธา จะอำนวยให้เมื่อเตรียมสิ่งของดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อเช้าวันรุ่งขึ้นในวันทานสลาก เขาก็ใช้เด็กลูกหลานเอาเสื่อไปปูที่ลานวัด หรือตามศาลาบาตร และเอา “ก๋วยสลาก” ไปวางเรียงไว้เป็นแถวๆ ส่วนผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะจัดเตรียมขัน (พาน) ไปวัดกันเป็นหมู่ๆ บ้างก็จูงมือลูกหลานไปด้วยส่วนพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็ไปเหมือนกัน ส่วนมากไปกันเกือบหมดทั้งครอบครัว เพราะถือว่าการทานสลากภัตรนี้มีอนิสงฆ์มาก และจะได้ช่วยกันเอา “ก๋วยสลาก” ไปถวายพระในเวลามีการเรียก “เส้นสลาก” ขออธิบายเรื่องเส้นสลากเล็กน้อย “เส้นสลาก” ที่กล่าวนี้ ผู้เป็นเจ้าของการทำ “ก๋วยสลาก” จะต้องเอาใบลานหรือกระดาษมาตัดเป็นแผ่นยาว ๆ จารึกชื่อเจ้าของไว้และบอกด้วยว่า อุทิศส่วนกุศลนั้นให้ใครบ้าง คำจารึก ในเส้นสลากนั้นมักจะเขียนดังนี้ “สลากข้าวของนี้ หมายมีผู้ข้านายแก้ว นางดี ขอทานไว้กับตนตัวภายหน้า” คือ หมายถึงว่า ถวายทานไว้อุทิศส่วนกุศลไว้สำหรับตัวเองเมื่อล่วงลับไปแล้ว จะได้ไปรับเอาของไทยทานนั้นในปรโลก ซึ่งเป็นความเชื่อของพุทธศาสนิกชนทั่วไปว่า เมื่อทำบุญถวายทานไว้ในพระศาสนาแล้ว เมื่อล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว ก็จะได้ไปเสวยอานิสงส์ผลบุญนั้นในโลกหน้า และจะมีการอุทิศส่วนกุศลนั้นให้ญาติพี่น้อง ผู้ล่วงลับไปแล้ว เช่น ผู้ข้าหนานเสนา นางบุบ้านใต้วัด ขอทานไว้ถึงนางจันตา ผู้เป็นแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว ขอหื้อไปรอดไปถึงจิ่มเต่อฯ” ดังนี้เป็นต้น (พรมพร โกทาเมือง, 2562)
เส้นสลาก” ที่กล่าวนี้จะต้องเขียนไว้ให้ครบจำนวนก๋วยสลาก เมื่อชาวบ้านนำเอาก๋วยสลากไปที่วัดแล้ว ก็จะเอาสลากไปรวมกันไว้ที่หน้าพระประธานในวิหาร ซึ่งผู้รวบรวมสลากมักจะเป็นมัคนายก หรือที่เรียกกันว่า “อาจารย์” รวบรวมได้เท่าไร ก็จะเอาจำนวนพระภิกษุสามเณรที่นิมนต์มาจากวัดต่าง ๆ นั้น หารจำนวนสลาก และหักเหลือไว้ส่วนหนึ่งเป็นส่วนของ “พระเจ้า” (คำว่า พระเจ้า เมืองเหนือหมายถึง พระพุทธรูปเช่น พระเจ้าเก้าตื้อ พระเจ้าทองทิพย์ ฯลฯ) และในที่นี้ก็หมายถึงเป็นส่วนพิเศษของวัดที่ทำพิธีทานก๋วยสลากนั่นเอง สลากของ “พระเจ้า” นี้ เมื่อเสร็จจากการทำบุญแล้ว ก็จะแบ่งปันให้พระภิกษุสามเณร และเด็กวัด (ทางเมืองเหนือเรียกว่า ขะโยมวัด) โดยทั่วถึงกัน และ “อาจารย์” หรือ มัคนายก ก็จะได้ส่วนหนึ่ง แต่เงินยอดก๋วยสลากนั้น ส่วนของ “พระเจ้า” จะต้องเป็นเงินกองกลางของวัดสำหรับใช้จ่ายในกิจของวัดต่อไป ขอเล่าถึงการแบ่ง “เส้นสลาก” ในแบบฉบับของ “ชาวบ่ะเก่า” (คนโบราณ) ให้เป็นที่เข้าใจของท่านผู้อ่านสักเล็กน้อย ในสมัยที่พวกชาวบ้าน ยังไม่รู้หนังสือไม่รู้จักคิดเลขอยู่นั้น การแบ่ง “ก๋วยสลาก” จะต้องตก “เส้นสลาก” เป็นกอง ๆ รวม 3 กอง กองหนึ่ง คือของ “พระเจ้า” (คือของวัด) ส่วนอีก 2 กองนั้น เฉลี่ยออกไปตามจำนวน พระภิกษุสามเณรที่นิมนต์มาร่วมในงานทำบุญหากมีเศษเหลือก็มักจะปัดเป็นของพระเจ้าเสีย “เส้นสลาก” ที่แบ่งปันให้พระภิกษุสงฆ์สามเณร ที่นิมนต์มาจากวัดต่าง ๆ นั้น เมื่อพระภิกษุสามเณรได้รับส่วนแบ่งแล้ว ก็จะไปยึดเอาชัยภูมิแห่งหนึ่งในวัดและจัดการออกสลาก คือ อ่านชื่อในเส้นสลากดัง ๆ หรือให้ลูกศิษย์ (ขะโยม) ที่ไปด้วยนั้นตะโกนตามข้อความที่เขียนไว้ในเส้นสลากหรือเปลี่ยนคำสั้น ๆ เช่น ศรัทธาหนานใจยวงค์บ้านเหนือวัดมีไหนเหอ เมื่อผู้เป็นเจ้าของได้ยิน หรือมีเพื่อนบ้านใกล้เคียงยินก็จะไปบอกให้เจ้าของ “ก๋วยสลาก” ซึ่งบางรายก็จะหิ้ว “ก๋วย” ไปตามหาเส้นสลากตามลานวัด การเที่ยวหาเส้นสลากนี้ เป็นที่น่าสนุกสนานมาก พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ เฒ่าชะแรแก่ชรา ไม่ว่าเด็กน้อยหรือหนุ่มใหญ่ ก็จะหิ้ว “ก๋วยสลาก” ออกตามเส้นกันขวักไขว่ ทุกคนจะมีใบหน้าแช่มชื่นผ่องใส เพราะนานปีถึงจะมีการ “กิ๋นก๋วย” สักครั้ง บางวัด 3 ปี จะมีการทานสลากนี้สักครั้งหนึ่ง พวกหนุ่ม ๆ ก็จะถือโอกาสช่วยสาว ๆ หาเส้นสลากเป็นการผูกไมตรีไปด้วย เมื่อพบเส้นสลากของตนแล้ว ก็จะเอา “ก๋วยสลาก” ไปถวายพระ พระก็จะช่วยอ่านข้อความในเส้นสลากให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง แล้วรับเอา “ก๋วยสลาก” และกล่าวอนุโมทนาให้พร แล้วก็คืนสลากนั้นให้เจ้าของสลากไปเจ้าของสลากก็นำเอาเส้นสลากนั้นไปรวมไว้ในวิหาร เมื่อเสร็จแล้ว “แก่วัด” หรือมัคนายก ก็จะเอาเส้นสลากนั้นไปเผาไฟหรือทิ้งเสีย
“ตานก๋วยสลาก” “กินก๋วยสลาก” คือ การทำบุญทานสลาก เป็นประเพณีสำคัญของภาคเหนือที่หมู่ญาติพี่น้องจะร่วมกันทาบุญอุทิศส่วนกุศลส่งถึงญาติผู้ล่วงลับ งานบุญตานก๋วยสลากจะเริ่มในวันเพ็ญ เดือนสิบสอง (เหนือ) ประมาณเดือนกันยายนจนไปสิ้นสุดในเดือนเกี๋ยงดับ (เหนือ) ประมาณตุลาคม
ก่อนวันพิธีตานก๋วยสลาก 1 วัน เป็นวันดา ชาวบ้านจะช่วยกันจัดแต่งครัวทาน ผู้ชายจะร่วมกันจักตอกสานก๋วยซึ่งคือตะกร้า ในแต่ละครัวเรือนจะสานหลายใบเพื่อถวายทานให้ทั่วถ้วนวงศาคณาญาติ ฝ่ายผู้หญิงจะจัดเตรียมห่อข้าวของต่าง ๆ อาหารสุก ข้าวสาร อาหารแห้ง ของใช้ประจาวัน เครื่องใช้ไม้สอยตามแต่ศรัทธาและฐานะ บรรจุลงในก๋วยซึ่งกรุด้วยใบตองหรือกระดาษสี จากนั้นจะเอาเงินผูกไม้เสียบไว้ที่กรวยดอกไม้ เรียกว่า “ยอด” ปักประดับไว้กับก๋วยมากน้อยตามกาลังศรัทธา พอรุ่งขึ้นตอนเช้าวันตานก๋วยสลากก็จะพากันนำก๋วยสลากไปวางเรียงกันไว้ที่ลานวัดหรือศาลาทาบุญ เจ้าของก๋วยจะนากระดาษมาตัดเป็นเส้นสลากแล้วเขียนชื่อตนและคาอุทิศส่วนกุศลพร้อมทั้งชื่อผู้ที่จะอุทิศให้ และแม้กระทั่งตัวเองเมื่อยามล่วงลับลงไปแล้ว เส้นสลากต้องเขียนให้ครบจำนวนก๋วยรวมกันไว้ที่หน้าองค์พระประธานมัคทายกจะรวบรวมนาไปคำนวณตามจำนวนพระเณรที่มี และหักส่วนหนึ่งไว้เป็นกองกลางของวัด เส้นสลากที่แจกจ่ายให้กับพระเณรนั้น พระเณรจะทยอยอ่านชื่อและศรัทธาอุทิศที่เขียนไว้ในเส้นสลากแต่ละเส้นให้ดังได้ยินทั่วกัน
สำหรับผู้มีฐานะการเงินดีก็จะจัดทาสลากพิเศษเรียกว่า “สลากโชค” สมัยก่อนจะทำเป็นเรือนหลังเล็ก ๆ ใส่ข้าวของเครื่องใช้ หม้อ ถ้วยโถโอชาม เสื่อ หมอน ที่นอน มุ้งและอาหาร ที่รอบ ๆ เรือนผูกไว้ด้วย ต้นกล้วย ต้นอ้อย ประดับยอดเงินมากเป็นพิเศษ บ้างก็จะเอาเครื่องประดับมีค่า สร้อยคอ เข็มขัด ใส่ลงไปด้วย แต่เมื่อถึงเวลาไม่ได้ถวายทานเครื่องประดับมีค่าไปพร้อมข้าวของอื่นในสลาก แต่ใส่ลงไปเป็นเคล็ดว่าชาติหน้าจะได้รับแต่สิ่งของเหล่านี้ เมื่อถึงยกสลากโชคไปวัดก็จะตีกลองเคาะฆ้องเป็นขบวนแห่ไปรวมจับสลากพร้อมสลากเส้นอื่น ๆ มิได้เจาะจงว่าจะถวายกับพระรูปใดเฉพาะ นอกจากนี้ยังมี “สลากย้อม” ซึ่งเป็นทานสลากจากหญิงสาวโสดที่จะเก็บหอมรอมริบไว้ตั้งแต่เริ่มเข้าวัยสาวรุ่น พอเป็นสาวเต็มตัวก็ได้เงินมากพอจะทำ สลากย้อมเป็นกิ่งไม้สูง มีร่มกางที่ปลายยอด ลาต้นมัดฟางไว้เพื่อปักไม้ ตกแต่งปัจจัยไทยทายต่าง ๆ ในอดีตนิยมกันว่า หญิงใดยังไม่ได้ทานสลากย้อมก็จะยังไม่แต่งงาน ออกเหย้าเรือน
“สลากมหาชมพู” หรือบ้างก็เรียก “สลากพญาชมพู” หรือ “สลากพระอินทร์” เป็นการทานสลาก ในอดีต ซึ่งบัดนี้ไม่พบอีกแล้วในประเทศไทย แต่ยังพบในหมู่ชาวไตที่เชียงตุง พม่า เป็นการร่วมกันทำก๋วยสลากของหญิงสาวในหมู่บ้านหรือญาติพี่น้องสองสามหลังคาเรือน โดยจะจัดทำประดับประดาสวยงาม จัดขบวนแห่เหมือนขบวนแห่ครัวทาน คือ นำถ้วยพานดอกไม้ ธูปเทียน ขบวนฟ้อน ขบวนฆ้องกลองเป็นที่เอิกเกริกสาราญตลอดเส้นทาง แล้วจึงนาไปไว้หน้าองค์พระประธานในวิหารถวายทานแด่พระผู้จับสลากมหาชมพูนี้ได้ ผู้ถวายจะอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ เจ้ากรรมนายเวร พญาอินทร์ พญาพรหม เทวดานานา (พรมพร โกทาเมือง, 2562, ตุลาคม 10)
พิธีกรรมในประเพณีตานก๋วยสลาก
เมื่อถึงวันที่กำหนดชาวบ้านเจ้าของกัณฑ์สลาก จะจัดขบวนแห่เครื่องไทยทานเข้าวัดโดยขบวนแห่จะประกอบด้วยต้นสลาก ขบวนรถก๋วยสลาก แต่ละขบวนแห่จะมีการฟ้อนรำของศรัทธาชาวบ้านซึ่งจะมากันเป็นหมู่บ้าน เรียกว่า ศรัทธาของหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านที่จัดประเพณีนี้ขึ้น และศรัทธาหมู่บ้านอื่นที่มาร่วมงานกัณฑ์สลากแต่ละกัณฑ์จะมีเส้นสลาก เขียนข้อความอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ผู้ที่ล่วงลับและเทวดาทั้งหลายและมีชื่อเจ้าของกัณฑ์อยู่ด้วย สมัยก่อนการจัดประเพณีตานก๋วยสลากไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีเหมือนในปัจจุบัน บางวัดอาจจะจัด 2 ปี ครั้งหรือ บางพื้นที่ต้องรอถึง 3 ปีเลยก็มีแล้วแต่กำลังศรัทธาและความเอื้ออำนวยของสถานการณืในช่วงนั้น ๆ ด้วย ดังนั้นประเพณีตานก๋วยสลากจะเป็นการทำบุญใหญ่ที่ทั้งชาวบ้านรอบ ๆ วัดและหมู่บ้านใกล้เคียงจะมารวมกันเพื่อร่วมกันทำบุญแล้วนั้น ยังเป็นเหมือยช่วงเวลาที่ให้หนุ่มสาวได้มีฌอกาสพูดคุย ทำความรู้จักกันระหว่างหมู่บ้านด้วย เพราะการตามหาเส้นสลากนี้ ผู้เฒ่าผู้แก่ เด็กน้อยหรือหนุ่มใหญ่ ก็จะหิ้ว “ก๋วยสลาก” ก็จะตามหาเส้นสลากของตนเอง เมื่อพบเส้นสลากของตนแล้ว ก็จะเอา “ก๋วยสลาก” ไปถวายพระ พระก็จะช่วยอ่านข้อความในเส้นสลากให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง แล้วรับเอา“ ก๋วยสลาก ” และกล่าวอนุโมทนาให้พร แล้วก็คืนสลากนั้นให้เจ้าของสลากไปเจ้าของสลากเป็นอันเสร็จสิ้นประเพณีตานก๋วยสลาก
คำสำคัญ : ประเพณีโบราณ ตานก๋วยสลาก ก๋วยสลาก สลากภัต
ที่มา : https://acc.kpru.ac.th/KPPStudies/index.php?title=ตานก๋วยสลาก_ประเพณีโบราณของคนไทย
รวบรวมและจัดทำข้อมูล : กาญจนา จันทร์สิงห์
สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มาหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. (2565). ตานก๋วยสลาก ประเพณีโบราณของคนไทย. สืบค้น 2 พฤศจิกายน 2567, จาก https://arit.kpru.ac.th/ap/local/?nu=pages&page_id=2104&code_db=610004&code_type=01
Google search
ในช่วงวันสารทไทย ประมาณเดือนกันยายนของทุกปี จะมีผลผลิตของกล้วยไข่ออกมามาก ดังนั้นทางจังหวัดกำแพงเพชรจึงจัดงานสารทไทยกล้วยไข่เมืองกำแพงเพชรขึ้น เพื่อเผยแพร่กล้วยไข่ซึ่งเป็นผลไม้พื้นเมืองของจังหวัด ภายในงานมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกมากมาย เช่น การประกวดกล้วยไข่ดิบ-สุก ชมขบวนแห่รถที่ประดับตกแต่งด้วยกล้วยไข่อย่างประณีต สวยงาม ชมการแสดงต่างๆ และร่วมพิธีกวนกระยาสารทกระทะหลวง นอกจากนี้ยังจัดให้มีการประกวดและจำหน่ายกล้วยไข่ การแข่งขันกวนกระยาสารท กวนข้าวกระยาทิพย์ งานนิทรรศการทางการเกษตร การออกร้านจำหน่ายสินค้าและการแสดงมหรสพต่างๆ
เผยแพร่เมื่อ 05-02-2017 ผู้เช้าชม 6,024
เทศกาลกินก๋วยเตี๋ยวเที่ยวเมืองกําแพงเพชรขึ้น เรียกสั้น ๆ ว่า “งานก๋วยเตี๋ยว” จัดครั้งแรก เมื่อวันที่ 3-5 ธันวาคม 2542 เพื่อเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของจังหวัด จัดขึ้น ณ ลานอนุรักษ์วัฒนธรรม ถนนเลียบแม่น้ําปิง อําเภอเมืองกําแพงเพชร จังหวัดกําแพงเพชร กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การออกร้านจําหน่ายอาหารและก๋วยเตี๋ยวที่ขึ้นชื่อของจังหวัดกําแพงเพชร ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเลือกได้ตามใจชอบ รวมทั้งมีการออกร้านจําหน่ายสินค้าหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และการแสดงจากเยาวชนในจังหวัดกําแพงเพชรของทุกปี
เผยแพร่เมื่อ 24-09-2024 ผู้เช้าชม 31
ต้นทับทิม จัดเป็นต้นไม้มงคลปลูกหน้าบ้านที่ช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้าย โดยสามารถนําใบต้นทับทิมมาปะพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลหรือขจัดสิ่งชั่วร้ายได้ อีกทั้งผลทับทิมก็ยังอุดมไปด้วยวิตามินซีและแร่ธาตุต่างๆ ที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันและบํารุงฟันให้แข็งแรง ทับทิมเป็นผลไม้มงคลของจีน กิ่งใบทับทิม เป็นใบไม้สิริมงคลที่ใช้ทุกงานที่มีน้ำมนต์ประกอบพิธี โดยจะใช้พรมน้ำมนต์และมีไว้ติดตัวเพื่อคุ้มครองกันภัย มีเรื่องเล่าว่าเพราะเป็นพันธุ์ไม้ที่ถูกนํามาเผยแพร่ในเมืองจีนพร้อมกับพระพุทธศาสนา
เผยแพร่เมื่อ 24-09-2024 ผู้เช้าชม 177
“นบพระ เล่นเพลงในแผ่นดินพระเจ้าลิไท ริ้วขบวนยาตราสู่วัดพระบรมธาตุ นครชุม น้อมสักการะพระบรมสารีริกธาตุ สืบทอดประเพณีเก่าแก่นับแต่ครั้งสมัยสุโขทัย งานมหรสพ การละเล่นโลดแล่นอยู่ท่ามกลางร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมครั้งอดีตที่ชวนหลงใหล”
เผยแพร่เมื่อ 03-02-2017 ผู้เช้าชม 5,881
ตามประเพณีไทย สิ่งที่มีบุญคุณกับคนไทยและมองไม่เห็นจะเรียกว่าแม่เสมอ เช่นน้ำเรียกกันว่า แม่คงคา พื้นดิน เรียกว่า แม่ธรณี ข้าวเรียกว่าแม่โพสพ ทุกสิ่งล้วนมีพระคุณต่อวิถีชีวิตของคนไทย มาตั้งแต่ตั้งเป็นชาติไทย ประเพณี การบูชาแม่โพสพ หรือข้าวนั้น คนไทยนิยมทำกันมาช้านานถือว่า แม่โพสพมีพระคุณกับคนไทยทั้งประเทศ เพราะข้าวนั้นเลี้ยงคนไทย แม่โพสพจึงมีความหมายอย่างลึกซึ้งและเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตคนไทยมาโดยตลอด จนเกิดประเพณี บูชาแม่โพสพ และขอขมาแม่พระโพสพ หลังการเก็บเกี่ยว
เผยแพร่เมื่อ 20-02-2017 ผู้เช้าชม 6,077
ชื่อกันว่า นางพรายตานี เป็นผีที่อาศัยอยู่ในต้นกล้วยตานีเป็นผีผู้หญิง หน้าตาสวยงาม ผิวขาวมักจะปรากฏให้เห็นตอนกลางคืนโดยจะออกมายืน หรือนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นกล้วยตานี มีข้อสังเกตุว่า ต้นกล้วยที่มีนางพรายตานีสิงอยู่มักจะมีลำต้นสะอาด ไม่มีกาบแห้ง ใบของกล้วยจะเขียวสดใส และบริเวณรอบต้นกล้วยก็จะสะอาด โล่งเตียน
เผยแพร่เมื่อ 25-02-2017 ผู้เช้าชม 7,309
จุดกำเนิดของการแต่งกายต่าง ๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จากการพบชุมชนโบราณที่เขากะล่อน พบเครื่องประดับประเภททำด้วยหิน เช่น กำไล หินขัด ชุมชนโบราณบ้านหนองกอง ตำบลนาบ่อคำ พบลูกปัดแก้ว ลูกปัดทำจากแร่อะเกตตา เนียล และชุมชนโบราณเมืองไตรตรึงษ์ พบลูกปัดแก้ว ลูกปัดหินทำเป็นสร้อยคอและสร้อยข้อมือ เป็นจุดกำเนิดของการแต่งกายของชาวกำแพงเพชรสมัยก่อนประวัติศาสตร์เท่าที่สืบค้นได้ในปัจจุบัน
เผยแพร่เมื่อ 21-02-2017 ผู้เช้าชม 5,866
ประเพณีกินแกงขี้เหล็กวันลอยกระทงเป็นอาหารโบราณที่มีการส่งรุ่นต่อรุ่นแกงขี้เหล็กเป็นอาหารที่ จัดได้ว่าเข้าข่ายอาหารโบราณที่อีกไม่นาน แกงขี้เหล็กวันลอยกระทง สืบทอดประเพณีพื้นถิ่นของนครชุม โบราณ จุดธูปขอขมาแล้วเก็บขี้เหล็กในเวลาเช้ามืดของวันเพ็ญเดือน 12 แกงวันนั้น และกินให้หมดในวันนั้น จะเป็นสุดยอดของยาอายุวัฒนะโดยหลังเที่ยงคืนเข้าสู่วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ชาวตําบลนครชุม จะออกจากบ้าน ไปเก็บใบขี้เหล็ก ซึ่งก่อนทําการเก็บนั้นจะต้องมีการจุดธูปขอขมา บอกล่าวกับต้นขี้เหล็กก่อน หรือชาวบ้าน เรียกว่า พลียา หมายถึงขอยาไปรักษาโรคจากนั้นจึงลงมือเก็บยอดขี้เหล็กมาประกอบเป็นอาหารรับประทาน ในวันเพ็ญเดือน 12 ได้ ซึ่งเป็นความเชื่อของคนโบราณว่า ต้องเก็บวันนั้น แกงวันนั้น และกินให้หมดในวันนั้น จะเป็นสุดยอดของยาอายุวัฒนะ
เผยแพร่เมื่อ 23-09-2024 ผู้เช้าชม 42
พิธีกรรมการเข้าทรง เป็นพิธีกรรมที่มีมานาน โดยมีหลายท่านให้ความหมายไว้ว่า คนทรง หรือ ร่างทรง หมายถึง คนที่ให้เจ้าหรือผีมาเข้าสิงในตัว การเข้าสิงนั้น เรียกว่า "การเข้าทรง" Lan Anh -VOV5 (2557) กล่าวว่า การทรงเจ้าเป็นพิธีการสื่อสารกับเทพเจ้าต่าง ๆ ผ่าน ร่างทรง ลักษณะของการเข้าทรงก็คือ การกลายร่างเดิมมาเป็นร่างใหม่ที่มีวิญญาณของเทพเจ้าหรือเทวดาชั้นสูง มาประทับร่างเพื่อประทานพรให้มนุษย์ ณิชาพร จําเนียร และ อรพรรณ พิศลยบุตร (2565) กล่าวว่า พิธีกรรม เข้าทรง หรือ ร่างทรง ในความหมายของคนทั่วไปคือ บุคคลที่สามารถจะรับจิต วิญญาณของผู้อื่นที่จากไปแล้ว หรือ จากจิตวิญญาณของผู้อื่นที่เป็นเทพ เทวดา มาสิงสถิตอยู่ในร่างกายของตัวเองได้
เผยแพร่เมื่อ 23-09-2024 ผู้เช้าชม 106
เพลงพวงมาลัย เป็นเพลงเก่าแก่เพลงหนึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป เพราะเคยเป็นเพลงที่นิยมเล่นในภาคกลาง หลายท้องถิ่นมักนำไปประกอบการละเล่นพื้นบ้าน หรือใช้ปรับเป็นเพลงในการเล่นกีฬาพื้นบ้านหลายชนิด และบางพื้นที่ใช้เป็นเพลงร้องโต้ตอบเกี้ยวพาราสีกันในกลุ่มหนุ่มสาว เพลงพวงมาลัย ไม่มีหลักฐานปรากฏอย่างชัดเจนว่า มีกำเนิดเมื่อใด แต่รู้กันว่าเป็นเพลงที่ร้องเล่นได้ทุกโอกาส ทุกเวลา มักเล่นในงานเทศกาล เช่น สงกรานต์ งานลอยกระทง งานขึ้นบ้านใหม่ งานนบพระเล่นเพลง เป็นต้น
เผยแพร่เมื่อ 13-02-2018 ผู้เช้าชม 22,618