แห้ม
เผยแพร่เมื่อ 17-07-2020 ผู้ชม 7,402
[16.4258401, 99.2157273, แห้ม]
สมุนไพรแห้ม (อ่านว่า "แฮ่ม", "แฮ้ม") ชื่อวิทยาศาสตร์ Coscinium fenestratum (Goetgh.) Colebr. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Coscinium usitatum Pierre) จัดอยู่ในวงศ์บอระเพ็ด (MENISPERMACEAE)[1] มีลักษณะโดยรวมคล้ายกับต้นขมิ้นเครือ ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ Arcangelisia flava (L.) Merr. (ต่างชนิด แต่อยู่ในวงศ์เดียวกัน)
ลักษณะของแห้ม
ต้นแห้ม หรือ ต้นแฮ่ม จัดเป็นพืชวงศ์เดียวกับบอระเพ็ด ลำต้นที่นำมาใช้เป็นยาสมุนไพร จะมีลักษณะเป็นชิ้นหรือแท่งตรงทรงกระบอก เรียกว่า "Coscinium" อาจพบในขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 10 เซนติเมตร ผิวภายนอกเป็นสีน้ำตาลเหลือง ส่วนเนื้อในเป็นสีเหลือง ไม่มีกลิ่นแต่มีรสขม โดยพืชชนิดนี้ถูกบรรจุอยู่ใน The British Phamaceutical Codex 1991 ภายใต้หัวข้อ Coscinium[1] ยังไม่มีการปลูกในประเทศไทย และต้องนำเข้ามาจากประเทศลาวเท่านั้น สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายสมุนไพร โดยจะมีทั้งแบบที่เป็นผงสีเหลือง (คล้ายขมิ้น) และแบบที่หั่นเป็นชิ้นเฉียงๆ หนาประมาณ 2-3 มิลลิเมตร เนื้อไม้มีรูพรุนและเป็นสีเหลือง
ส่วนอีกข้อมูลหนึ่งระบุว่า ต้นแห้มมีอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ Coscinium fenestratum (Goetgh.) Colebr. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Coscinium usitatum Pierre) ชนิดนี้เป็นไม้เถา รากและเถาเป็นสีเหลือง ใบเป็นแบบสลับ ออกดอกเป็นช่อระหว่างใบ ดอกเป็นสีขาว พบได้ตามป่าเกือบทุกภาคของประเทศลาว ส่วนอีกสายพันธุ์หนึ่ง คือ พันธุ์ Fibraurca recisa Pierre ชนิดนี้เป็นไม้เถาเช่นกัน เถาแก่จะเป็นสีเหลือง ใบเป็นแบบสลับ แต่ดอกเป็นสีเหลืองอมเขียว มักออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม[4] (ตามรูปคือแห้มพันธุ์ Coscinium fenestratum (Goetgh.) Colebr.)
สรรพคุณของแห้ม
- ในประเทศอินเดียและกลุ่มประเทศทางตะวันออก จะใช้ต้นแห้มเป็นยาช่วยเจริญอาหาร ด้วยการนำลำต้นแห้งมาใช้ในหลายรูปแบบ เช่น รูปของยาชง (Infusion - เตรียมด้วยการนำลำต้นแห้งที่ฝานเป็นชิ้นบาง ๆ 5 ส่วน นำมาแช่หรือชงในน้ำต้มเดือด 100 ส่วน ประมาณ 30 นาที มีขนาดโดสยาประมาณ 15-30 มิลลิลิตร), Tincture (เตรียมผงที่ได้จากลำต้นแห้ง 10 ส่วน, แอลกอฮอล์ 100 ส่วน นำหมักไว้ โดยมีขนาดยาประมาณ 2-4 มิลลิลิตร), Concentraled liquor (เตรียมผงที่ได้จากลำต้นแห้ง 50 ส่วน และแอลกอฮอล์ 40 ส่วน แล้วเติมน้ำให้ได้ทั้งหมดเป็น 100 ส่วน มีขนาดโดสยาประมาณ 2-4 มิลลิลิตร) (ลำต้นแห้ง)
- ตามตำรายาพื้นบ้าน จะใช้สมุนไพรแห้มเป็นสมุนไพรช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดแต่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับสรรพคุณดังกล่าวยังมีไม่มากนัก จึงมีคำแนะนำให้ใช้มะระขี้นกเป็นยาลดระดับน้ำตาลในเลือดแทน เพราะมีสรรพคุณที่แน่นอนกว่า (ลำต้นแห้ง)
- สรรพคุณแห้มทั้งสองสายพันธุ์ตามตำรายาไทย จะใช้เป็นยาแก้ไข้ (ลำต้นแห้ง, รากและเถา)
- ใช้เป็นยาแก้ตาแดง (ลำต้นแห้ง) แก้ตาอักเสบ (รากและเถา)
- ในประเทศลาวจะใช้สมุนไพรแห้มเป็นยาแก้ปวดท้อง แก้บิด (ลำต้นแห้ง)
- ใช้แก้โรคบิด ลำไส้อักเสบ กระเพาะอักเสบ (รากและเถา)
- รากและเถาใช้เป็นยาแก้ฝี แก้ผื่นคัน (รากและเถา)
- แห้มเป็นสมุนไพรที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่นานมานี้ และถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยผู้บริโภค "เชื่อ" ว่าสมุนไพรชนิดนี้สามารถใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง ละลายไขมันในเลือด รักษาเบาหวาน โรคไต และช่วยถอนพิษตกค้างในร่างกาย[3]และยังมีสรรพคุณที่ "อ้วดอ้างเกิน" จริงอีกมากมายจากผลิตภัณฑ์แห้มสำเร็จรูป ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีข้อมูลงานวิจัยทางการแพทย์ถึงประโยชน์ดังกล่าว เช่น ระบุว่าแห้มเป็นยาอายุวัฒนะ รักษามะเร็ง โรคกระเพาะอาหาร แผลในลำไส้ ปวดหลังอวดเอว แก้อัมพฤกษ์ อัมพาต ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ แก้สตรีอยู่ไฟไม่ได้ ช่วยลดความอ้วน แก้หอบหืด ฯลฯ
- ส่วนข้อมูลจากคุณ seahorse แห่งบอร์ดสมุนไพรดอทคอม (samunpri.com) ซึ่งได้อ้างอิงสรรพคุณของแฮ่มในหนังสือคัมภีร์เภสัชรัตนโกสินทร์ของท่านอาจารย์วุฒิ วุฒิธรรมเวช ไว้ว่า
- เถาแฮ่ม มีรสร้อนฝาดเฝื่อน สรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ร้อนใน แก้ดีซ่าน แก้ท้องเสียอันเนื่องมาจากอาหารไม่ย่อย ช่วยขับผายลม ทำให้เรอ และแก้ดีพิการ
- รากแฮ่ม มีรสร้อนฝาดเฝื่อนเช่นเดียวกับเถา ใช้ฝนเป็นยาหยอดตาแก้ริดสีดวงตา แก้ตาแดง ตาอักเสบ ตาแฉะ ตามัว ช่วยบำรุงน้ำเหลือง และช่วยขับลมอัมพฤกษ์
- ใบแฮ่ม มีรสร้อนฝาดเฝื่อนเช่นกัน มีสรรพคุณเป็นยาขับโลหิตระดูที่เสียเป็นลิ่มเป็นก้อนของสตรีให้ออกมา ช่วยแก้มุตกิดระดูขาว และช่วยขับน้ำคาวปลา
- ดอกแฮ่ม มีฝาดเฝื่อน มีสรรพคุณเป็นยาแก้บิดมูกเลือด
- ส่วนข้อมูลจากคุณ ck256 ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แฮ่มมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะได้ดี
หมายเหตุ : ข้อมูลของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลได้ระบุว่า แห้มเป็นไม้ยืนต้นที่พบได้มากในแถบประเทศลาวและเวียดนาด ประกอบด้วย 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ Coscinium usitatum Pierre (เถาแก่มีสรรพคุณตาม [2] แก้ปวดท้องบิด แก้ไข้ แก้ตาแดง และใช้ไล่ยุง) และพันธุ์ Fibraurea recisa Pierre (รากและเถามีสรรพคุณตาม [4] เป็นยาแก้ไข้ แก้ตาอักเสบ ลำไส้อักเสบ กระเพาะอักเสบ โรคบิด แก้ฝี และผื่นคัน) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสรรพคุณทางแผนโบราณ
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของแห้ม
- องค์ประกอบทางเคมีที่สำคัญที่พบได้ คือ สารกลุ่มอัลคาลอยด์ (alkaloid) ที่มีลักษณะเป็นผลึกสีเหลือง มีชื่อว่า "เบอบีริน" "(berberine) นอกจากนี้ยังพบสารในกลุ่มซาโปนิน (Saponin) อีกด้วย
- จากการศึกษาฤทธิ์สมุนไพรแห้ม (สมุนไพรแฮ่ม) ต่อการลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูขาวที่เป็นเบาหวานและในหนูขาวปกติ พบว่าสมุนไพรชนิดนี้ในขนาด 0.5 และ 1 กรัมต่อกิโลกรัม น้ำหนักตัว สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูขาวที่เป็นเบาหวานได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่สมุนไพรแห้มจะไม่มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูขาวปกติที่ไม่เป็นเบาหวาน และไม่มีผลต่อภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างเฉียบพลันทั้งในหนูที่เป็นเบาหวานและหนูปกติ แต่ยังไม่มีการศึกษาในคนที่ยืนยันผลการลดระดับน้ำตาลในเลือด
- สารสกัดเอทานอลจากแห้ม มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ทั้งในหนูเบาหวานและหนูปกติ โดยมีกลไกการออกฤทธิ์ผ่านทางการกระตุ้นการหลั่งของอินซูลินจากตับอ่อน และยังช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์มอลเตสและซูเครส ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่จะนำสารสกัดดังกล่าวมาพัฒนาเป็นยารักษาโรคเบาหวานต่อไปในอนาคต
- แห้มสายพันธุ์ Fibraurea recisa Pierre รากและเถามีส่วนประกอบทางเคมี ได้แก่ คูลัมบามีน, จูโทรไรซิน, เบอบีริน, พัลมาทิน, อัลคาลอยด์ เป็นต้น และจากการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ พบว่าแห้มสายพันธุ์นี้มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย
- จากการศึกษาความเป็นพิษแบบกึ่งเฉียบพลันของสารสกัดแห้มต่อหัวใจ ปอด ตับอ่อน และอัณฑะในหนูขาวทดลอง ด้วยการป้อนสารสกัดดังกล่าวในขนาด 100, 200, 300 และ 400 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม น้ำหนักตัว เป็นระยะเวลา 1 เดือน พบว่า สมุนไพรชนิดนี้ไม่ก่อให้เกิดอาการเป็นพิษและทำให้สัตว์ทดลองตาย ไม่มีผลต่อการเพิ่มน้ำหนักตัวตลอดระยะเวลาการได้รับยา ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับเอนไซม์และสารที่บ่งชี้ถึงความผิดปกติของการทำงานของตับและไต รวมถึงระดับเกลือแร่ในเลือด จึงแสดงให้เห็นว่า ไม่มีผลต่อการทำงานของตับและไต แต่พบว่าหนูทดลองที่ได้รับสารสกัดแห้มมีการเพิ่มอัตราการเคลื่อนตัวและการมีชีวิตรอดของสเปิร์มมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังไม่พบพยาธิสภาพของโครงสร้างในระดับจุลกายวิภาคของหัวใจ ปอด ตับอ่อน และไต แต่กลับพบว่ามีการเพิ่มจำนวนของ vacoules ในเซลล์ตับเป็นจำนวนมาก และยังมีการเพิ่มจำนวนชั้นของ germ cells ใน seminiferous tubules และเมื่อป้อนสารสกัดด้วยน้ำในขนาด 5 กรัมต่อกิโลกรัม พบว่าไม่ทำให้หนูตาล ส่วนในขนาด 2.5 กรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน โดยให้หนูทดลองกินเป็นเวลา 3 เดือน ก็ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด โดยไม่มีผลต่อระบบประสาทและการเคลื่อนไหว แต่มีค่าทางโลหิตวิทยา บางตัวมีการเปลี่ยนแปลงไปจากค่าปกติ และยังไม่มีรายงานว่าสมุนไพรชนิดนี้มีอันตรกิริยากับพืชหรือยาชนิดใดบ้าง อย่างไรก็ตามก็ควรจะระมัดระวังในการใช้สมุนไพรชนิดนี้เป็นระยะเวลานาน เพราะยังไม่มีข้อมูลวิจัยทางคลินิก เนื่องจากแห้มมีสาร berberine ซึ่งเป็นสารสำคัญและมีข้อควรระมัดระวังถึงผลข้างเคียงต่อหัวใจ เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการหายใจขัด และอาจมีพิษต่อระบบเลือด หัวใจ และตับได้
- จากการศึกษาความเป็นพิษ ยังไม่มีพบรายงานความเป็นพิษในคน เมื่อทดลองกับหนูถีบจักร โดยการป้อนสารสกัดแห้มด้วยเอทานอล 50% ในขนาดสูงถึง 800 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด ส่วนความเข้มข้นของสารสกัดแห้มที่ทำให้หนูทดลองตายครึ่งหนึ่งเมื่อกินสารสกัด มีค่าเท่ากับ 1,200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
- ส่วนข้อมูลจากสถาบันวิจัยสมุนไพรได้ระบุผลการทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันในสัตว์ทดลอง โดยพบว่า เมื่อป้อนสารสกัดแห้มในขนาด 40 กรัมต่อกิโลกรัม จะทำให้เกิดความเป็นพิษเฉียบพลัน ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้หายใจไม่สะดวก การเคลื่อนไหวลดลง และทำให้สัตว์ทดลองตาย จึงขอเตือนให้ผู้บริโภคที่ใช้สมุนไพรแห้มควรใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากยังไม่แน่ใจถึงความปลอดภัยและขนาดที่เหมาะสมในการใช้ เพราะยังขาดข้อมูลการศึกษาถึงความเป็นพิษและรายงานทางคลินิกอีกมาก เพราะยังไม่มีการศึกษาในคน เพียงแต่ที่ผ่านมานักวิจัยได้ทำการศึกษาในสัตว์ทดลองและในหลอดทดลองเท่านั้น
ประโยชน์ของแห้ม
- ใช้ไล่ยุง
ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรแห้ม
- การรับประทานสมุนไพรแห้มเป็นจำนวนมากจะส่งผลทำให้ตับอักเสบได้ ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงและต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะสมุนไพรชนิดนี้มีเกลือแร่และโพแทสเซียมสูง (ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร)
- สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรแห้ม โดยพบว่า สมุนไพรชนิดนี้มีแบบผง ซึ่งมักเป็นยาแผนปัจจุบันจำพวกสเตียรอยด์เจือปนหรืออาจเป็นสารสเตียรอยด์ทั้งหมด หากได้รับสารสเตียรอยด์ในปริมาณมากก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
- บางข้อมูลระบุว่า แห้มเป็นสมุนไพรที่สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดและขับน้ำได้จริง และดูเหมือนว่าจะช่วยลดน้ำหนักได้เหมือนยาลดน้ำหนัก เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้มีฤทธิ์ขับแร่ธาตุและสารตัวอื่น ๆ ออกจากร่างกาย เช่น โพแทสเซียมและโซเดียม ซึ่งสาร 2 ตัวนี้ทำหน้าที่เป็นสารสื่อนำระบบการทำงานหลักของหัวใจและไต หากรับประทานสมุนไพรชนิดนี้อย่างต่อเนื่องในระยะแรกก็ดูเหมือนจะเป็นปกติ เพราะสารทั้ง 2 ชนิดนี้ร่างกายสามารถชดชดเชยได้ในระยะแรก ๆ แต่เมื่อสะสมไปนาน ๆ หรือใช้เป็นเดือน ๆ ร่างกายจะเริ่มอ่อนเพลีย หัวใจและไตทำงานผิดปกติ จนอาจถึงขั้นไตวายและเป็นโรคหัวใจได้ (by Mr.taro)
- การใช้สมุนไพรแห้มเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะถ้ารับประทานในจำนวนที่มากจนเกินไป จะไม่ส่งผลดีต่อร่างกาย เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว และทำให้เกิดอาการช็อกได้ นอกจากนี้แห้มยังมีฤทธิ์ยาระบายอีกด้วย (ข้อมูลจาก: abhakara.com by จัทร์เจ้าขา)
คำสำคัญ : แห้ม
ที่มา : https://medthai.com/
รวบรวมและจัดทำข้อมูล : กาญจนา จันทร์สิงห์
สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มาหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. (2563). แห้ม. สืบค้น 22 พฤษภาคม 2568, จาก https://arit.kpru.ac.th/ap/local/?nu=pages&page_id=1773&code_db=610010&code_type=01
Google search
กวางตุ้ง เป็นผักที่นิยมนำมาประกอบอาหาร ไม่ว่าจะผัดหรือต้มเป็นแกงจืด ให้รสชาติหวานกรอบ โดยเฉพาะเมนูบะหมี่หมูแดงหรือเกี๊ยวก็จะมีผักชนิดนี้แซมอยู่เสมอ โดยสามารถรับประทานได้ทั้งลำต้น ใบ และดอก ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้บริโภค แต่จะนิยมนำมาปรุงให้สุกก่อนนำมารับประทาน ตามธรรมชาติแล้วผักกวางตุ้งจะมีเส้นใยเหนียวๆ เคี้ยวยากสักหน่อย
เผยแพร่เมื่อ 09-07-2020 ผู้เช้าชม 16,626
อีเหนียวเป็นพรรณไม้ที่มีเขตการกระจายพันธุ์ในแอฟริกา เอเชีย มาเลเซีย และพบในทุกภาคของประเทศไทยตามป่าโปร่งทั่วไป ป่าเปิดใหม่ ที่ระดับดับสูงถึง 1,900 เมตร จากระดับน้ำทะเล ประโยชน์ของอีเหนียวนั้นใช้เป็นอาหารสัตว์และเป็นพืชสมุนไพร โดยคุณค่าทางอาหารของต้นอีเหนียวที่มีอายุประมาณ 75-90 วัน จะมีโปรตีน 14.4%, แคลเซียม 1.11%, ฟอสฟอรัส 0.24%, โพแทสเซียม 1.87%, ADF 41.7%, NDF 60.4%, DMD 56.3%, ไนเตรท 862.2 พีพีเอ็ม, ออกซาลิกแอซิด 709.8 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์, แทนนิน 0.1%, มิโมซีน 0.26% เป็นต้น
เผยแพร่เมื่อ 25-02-2017 ผู้เช้าชม 2,742
สำหรับประเทศไทยข้าวที่ปลูกจะเป็นชนิด indica โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ข้าวเจ้าและข้าวเหนียว นอกจากนี้พันธุ์ข้าวยังได้ถูกปรับปรุงและคัดสรรสายพันธุ์มาโดยตลอด จึงทำให้มีหลากหลายสายพันธุ์ทั่วโลกที่มีรสชาติและคุณประโยชน์ของข้าวที่แตกต่างกันออกไป โดยพันธุ์ข้าวไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลกก็คือ ข้าวหอมมะลิ โดยข้าวที่มีคุณค่าทางอาหารสูงก็คือ ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวนึ่งก่อนสี และข้าวเสริมวิตามิน
เผยแพร่เมื่อ 19-05-2020 ผู้เช้าชม 15,475
สับปะรด มีต้นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ดี และจัดว่าเป็นผลไม้เศรษฐกิจของบ้านเราด้วย แหล่งปลูกที่สำคัญ ๆ มักจะอยู่ใกล้ ๆ ทะเล เช่น ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ชลบุรี หรืออุตรดิตถ์ ลำปาง พิษณุโลก เป็นต้น สำหรับพันธุ์ที่นิยมปลูกในบ้านเราก็มีหลายสายพันธุ์ เช่น พันธุ์ปัตตาเวีย (สับปะรดศรีราชา ผลใหญ่ เนื้อฉ่ำ สีเหลืองอ่อน), พันธุ์อินทรชิต (หรือพันธุ์พื้นเมือง), พันธุ์ภูเก็ต (ผลเล็กเปลือกหนา เนื้อสีเหลือง หวานกรอบ), พันธุ์นางแล (พันธุ์น้ำผึ้ง เนื้อจะเข้มเหลือง รสออกหวานจัด) เป็นต้น
เผยแพร่เมื่อ 17-07-2020 ผู้เช้าชม 9,516
ดาวเรือง (African Marigold) เป็นพืชสมุนไพรจำพวกไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ที่มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นต่างๆ เช่น ภาคเหนือเรียก คำปู้จู้หลวง ส่วนกะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอนเรียก พอทู เป็นต้น ซึ่งดอกดาวเรืองนั้นถือได้ว่าเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดสมุทรปราการ มีหลากหลายสายพันธุ์ โดยในประเทศไทยของเรานั้นจะนิยมใช้ดอกดาวเรืองพันธุ์ซอเวอร์เรนมาใช้ประโยชน์ทางด้านการค้า เนื่องจากมีดอกที่ใหญ่ดูสวย โดยขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดเป็นหลักจะได้ต้นใหญ่สวย หรือจะปักชำก็ได้แต่ต้นที่ได้จะมีขนาดเล็กกว่า เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนเพราะระบายน้ำได้ดี
เผยแพร่เมื่อ 08-05-2020 ผู้เช้าชม 4,089
มะเกลือ ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 8-15 เมตร อาจสูงได้ถึง 30 เมตร ผลัดใบหรือไม่ผลัดใบ เปลือกสีดำ แตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ ตามยาว แก่นสีดำสนิท เนื้อละเอียดมันสวยงาม ทุกส่วนของมะเกลือเมื่อแห้งจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ใบอ่อนและกิ่งอ่อนมีขนนุ่มทั้งสองด้าน ใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปไข่ หรือรูปไข่แกมรูปขอบขนาน กว้าง 1.5-4 เซนติเมตร ยาว 4-8 เซนติเมตร ปลายแหลม โคนสอบมน ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว 5-10 เซนติเมตร ใบอ่อนมีขนสีเงิน ใบแก่หนา ผิวเรียบมัน ด้านใต้ใบสีเขียวซีด บางเกลี้ยง
เผยแพร่เมื่อ 25-02-2017 ผู้เช้าชม 4,126
ลักษณะทั่วไป เป็นไม้ล้มลุก สูงไม่เกิน 30 ซม. ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ แก่นกลางใบประกอบยาว 7-17 ซม. มีขนสีน้ำตาล มีใบย่อย 18-27 คู่ ใบย่อยคู่อื่น รูปแคบยาวขอบขนาน ช่อดอก มี 2-9 ดอก ก้านช่อดอกยาว 0.5-2 ซม. ก้านดอกยาว 0.5-1.7 ซม. กลีบดอกสีขาว โคนกลีบสีเหลือง ผลรีกว้าง 2-3 มม. ยาว 3-4 มม. ผิวเรียบ มีเมล็ด 10-15 เมล็ด
เผยแพร่เมื่อ 12-02-2018 ผู้เช้าชม 2,030
ต้นกระทงลายเป็นพรรณไม้พุ่มเลื้อย มีความสูงประมาณ 2-10 เมตร ลักษณะเนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลแดง ใบกระทงลายเป็นใบเดี่ยว ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่ หรือรูปรี โคนใบสอบเข้าหากันมน ส่วนปลายใบแหลม หรือมน ริมขอบใบหยัก ละเอียดเป็นฟันเลื่อย หลังใบมีพื้นผินเรียบใต้ท้องใบจะมีเส้นใบมี 5-8 คู่ เห็นได้ชัด ขนาดของใบกว้างประมาณ 1-2.5 นิ้ว ยาวประมาณ 2-6 นิ้ว มีก้านใบยาวประมาณ 5-1.5 ซม. ดอกกระทงลายออกเป็นช่อ ยาวประมาณ 4-8 นิ้ว ซึ่งออกอยู่บริเวณปลายยอด ลักษณะของดอกมีทั้งดอกเพศผู้และเมียซึ่งมักจะแยกกันคนละต้น
เผยแพร่เมื่อ 13-05-2020 ผู้เช้าชม 3,451
คันทรง จัดเป็นไม้พุ่มขนาดกลางกึ่งไม้เลื้อย ลำต้นตั้งตรงและมีความสูงของต้นประมาณ 2-3 เมตร บ้างว่าสูงได้ประมาณ 1-9 เมตร แตกกิ่งก้านมากตั้งแต่โคนต้น กิ่งก้านมีขนาดเล็กกลมสีเขียว กิ่งก้านสีเขียวเข้มเป็นมัน เปลือกต้นเป็นสีเทา มีรอยแตกเป็นร่องตื้นๆ ถี่ๆ และตามลำต้นจะมีตาที่ทิ้งใบเป็นตุ่มห่างๆ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ดและวิธีการปักชำลำต้น มักขึ้นเองตามป่าราบ ป่าดงดิบ ป่าละเมาะ หรือที่รกร้างข้างทางทั่วไป
เผยแพร่เมื่อ 25-05-2020 ผู้เช้าชม 4,749
ลักษณะทั่วไป ต้นเป็นไม้เถา ขนาดเล็ก ลำต้นกลม เกลี้ยง หรือตามกิ่งก้านมีขนแข็งสีขาว หรือสีน้ำตาลปนเหลืองกระจายทั่ว ใบรูปกลม กว้าง ยาว โคนใบรูปหัวใจ ขอบใบจักเป็นแฉกรูปพัด 5-7 แฉก เป็นรูปสามเหลี่ยมกว้าง หรือรูปหอกปลายแหลมหรือมน มีติ่งสั้น ขอบแฉกจักเป็นซี่ฟันหยาบ ๆ หรือเว้าตื้น ๆ หรือค่อนข้างเรียบ มีขนกระจายหนาแน่นทั้ง 2 ด้าน ก้านใบยาว 2-15 ซม. มีขนกระจายหรือเกลี้ยง ดอกออกเป็นช่อตามง่ามใบมี 1-3 หรือหลายดอก ก้านช่อดอกยาว 1-15 ซม. หรือยาวกว่านี้ ก้านดอกยาว 8-20 มม. เมื่อเป็นผลจะใหญ่ขึ้นเป็นรูปกระบองใบประดับแหลมเรียว ยาว 1.5-2 มม. กลีบรองดอกรูปขอบขนาน หรือแหลม มีติ่งสั้น กลีบที่อยู่ด้านนอกมีขนแข็งหรือเกลี้ยงกลีบอยู่ด้านใน
เผยแพร่เมื่อ 13-02-2018 ผู้เช้าชม 4,398