ท้าวแสนปม 3 เรื่อง 3 ที่มา
เผยแพร่เมื่อ 25-02-2020 ผู้ชม 6,932
[16.3937891, 98.9529695, ท้าวแสนปม 3 เรื่อง 3 ที่มา]
เรื่อง “ท้าวแสนปม” เป็นเรื่องที่เล่าขานต่อเนื่องกันมาช้านาน กล่าวถึงบุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ของเมืองไตรตรึงษ์ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของตำบลไตรตรึงษ์ อำเภอเมืองกำแพงเพชร ในระยะแรก ผู้เขียนรู้สึกแปลกใจที่พยายามจะศึกษาเรื่องราวของท้าวแสนปม แต่ละคนที่ให้ความรู้ให้ข้อมูลแตกต่างกันออกไปไม่เหมือนกัน จึงได้พยายามสืบค้นจากเอกสารต่าง ๆ จึงรู้ได้ว่าสาเหตุที่แตกต่างกันนั้น เกิดจากต้นเรื่องหรือข้อมูลของเรื่องมาจากหลายแหล่ง ซึ่งพอที่จะกล่าวถึงที่มาและเนื้อเรื่องดังนี้
1. “ท้าวแสนปม” จากตำนานพื้นบ้าน
2. “ท้าวแสนปม” จากพงศาวดาร
3. “ท้าวแสนปม” จากบทละคร
“ท้าวแสนปม” จากตำนานพื้นบ้าน
ประวัติเมืองไตรตรึงษ์ เป็นเอกสารขององค์การบริหารส่วนตำบลไตรตรึงษ์ ตำบลไตรตรึงษ์ อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ได้เล่าถึงตำนาน “ท้าวแสนปม” ไว้ว่า “นานมาแล้ว มีชายผู้หนึ่ง ถูกลอยแพมาติดที่เกาะขี้เหล็ก ซึ่งอยู่ใต้เมืองกำแพงเพชร ชายผู้นี้มี รูปร่างน่าเกลียดมีปุ่มปมขึ้นเต็มตัว ชาวบ้านจึงเรียกเขาว่า แสนปม และเรียกเกาะขี้เหล็กว่า เกาะปม ตามชื่อ แสนปม
แสนปมทำไร่ ปลูกพริก ปลูกมะเขืออยู่ที่เกาะปมนี้ และมีมะเขือต้นหนึ่งอยู่หน้ากระท่อม มีผลใหญ่มาก เพราะแสนปมปัสสาวะรดทุกวัน วันหนึ่งพระราชธิดาของเจ้าเมืองไตรตรึงษ์เสด็จประพาสที่เกาะปม ทอดพระเนตรเห็นผลมะเขือก็นึกอยากเสวย จึงรับสั่งให้นางสนมไปขอเจ้าของมะเขือที่อยู่หน้ากระท่อมให้นางสนมไปถวาย หลังจากพระราชธิดาเสวยผลมะเขือไปไม่นานก็ทรงครรภ์ เจ้าเมืองไตรตรึงษ์ทรงพิโรธมาก เพราะพระราชธิดาไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นพ่อ นอกจากเสวยมะเขือของแสนปมเท่านั้น ต่อมาพระราชธิดาทรงมีประสูติกาลเป็นพระโอรสจนเจริญวัยน่ารัก เจ้าเมืองจึงรับสั่งให้เสนาป่าวประกาศให้ผู้ชายทุกคนมาเสี่ยงทายเป็นบิดาของพระราชโอรส ว่าถ้าผู้ใดเป็นบิดาขอให้พระราชโอรสคลานเข้าไปหา บรรดาผู้ชายทุกคนไม่ว่าหนุ่ม แก่ ยาจก หรือเศรษฐี ยกเว้นแสนปมคนเดียว ต่างพากันมาเสี่ยงทายเป็นบิดาของพระราชโอรส แต่พระราชโอรสไม่ได้คลานเข้าไปหาใครเลย แม้จะใช้ของล่อใจอย่างไรก็ตาม เจ้าเมืองแปลกพระทัย จึงให้เสนาไปตามนายแสนปม ซึ่งยังไม่ได้มาเสี่ยงทายในครั้งนี้ให้มาเข้าเฝ้า พร้อมทั้งถือข้าวเย็นมา 1 ก้อน เมื่อมาถึงจึงอธิษฐานและยื่นก้อนข้าวเย็นให้พระราชโอรสก็คลานเข้ามาหา เจ้าเมืองจึงยกราชธิดาให้แก่แสนปมและให้กลับไปอยู่ที่เกาะปม
วันหนึ่งแสนปมไปทอดแหที่คลองขมิ้น แต่ทอดแหครั้งใดก็ได้แต่ขมิ้นจนเต็มลำเรือ แสนปม แปลกใจมาก เมื่อกลับมาถึงบ้าน ขมิ้นก็กลายเป็นทองคำ แสนปมจึงนำทองคำไปทำเป็นเปลให้ลูก และตั้งชื่อลูกว่า อู่ทอง”
“ท้าวแสนปม” จากพงศาวดาร
จากเรื่องเทศนาจุลยุทธการวงศ ์ โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส(สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ในหนังสือประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 1 หนา้ 189-191 ได้ทรงเทศนาเรื่องท้าวแสนปม ไว้ดังนี้
“บัดนี้จะได้รับพระราชทานถวายพระสัทธรรมเทศนา ในจุลยุทธการวงศ์ สำแดงเรื่องลำดับ โบราณกษัตริย์ในสยามประเทศนี้ อันบุพพาจารย์รจนาไว้ว่า
กาลเมื่อพระเจ้าเชียงรายพ่ายแพ้ยุทธสงครามแต่พระยาสตองเสียพระนคร พาประชาราษฎรชาวเมืองเชียงราย ปลาสนาการมาสู่แว่นแคว้นสยามประเทศ ถึงราวป่าใกล้เมืองกำแพงเพชร ด้วยบุญญานุภาพแห่งพระองค์ สมเด็จอมรินทรทราธิราชนิมิตพระกายเป็นดาบสมาประดิษฐานอยู่ตรงหน้าช้างพระที่นั่ง ตรัสบอกให้ตั้งพระนครในที่นี้เป็นชัยมงคลสถาน บรมกษัตริย์ก็ให้สร้างพระนครลงในที่นั้น จึงใหน้ามชื่อว่าเมืองไตรตรึงษ์ พระองค์เสวยไอศูริยสมบัติอยู่ในพระนครนั้นตราบเท่าทิวงคต พระราชโอรส นัดดาครองสมบัติสืบๆ กันมาถึงสี่ชั่วกษัตริย์
ครั้งนั้นยังมีบุรุษผู้หนึ่ง เป็นปุ่มปมไปทั้งร่างกาย ทำไร่ปลูกพริกมะเขืออยู่ในแดนพระนครนั้น เก็บผลพริกมะเขือขายเลี้ยงชีวิต แลมะเขือต้นหนึ่งอยู่ใกล้ห้าง บุรุษนั้นไปถ่ายปัสสาวะลงที่ริมต้นนั้นเป็นนิจ มะเขือนั้นออกผล ผลหนึ่งใหญ่กว่ามะเขือทั้งปวง พอพระราชธิดาไตรตรึงษ์มีพระทัยปรารถนาจะเสวยผลมะเขือ จึงให้ทาสีไปซื้อ ก็ได้ผลใหญ่นั้นมาเสวย นางก็ทรงครรภ์ ทราบถึงพระราชบิดาตรัสไต่ถามก็ไม่ได้ความว่าคบหาสมัครสังวาสกับบุรุษใด ต่อมาพระธิดาประสูติพระราชกุมาร พระรูปโฉมงาม ประกอบด้วยลักษระอันบริบูรณ์ พระญาติทั้งหลายบำรุงเลี้ยงพระราชกุมารจนโตขึ้น ประมาณพระชนม์สองสามขวบ สมเด็จพระอัยการปรารถนาจะทดลองเสี่ยงทายแสวงหาบิดาพระราชกุมาร จึงให้ตีกลองป่าวร้องบุรุษชาวเมืองทั้งหมด ให้ถือขนมหรือผลไม้ติดมือมาทุกคน มาพร้อมกันที่หน้าพระลาน ทรงพระอธิษฐานว่าถ้าบุรุษผู้ใดเป็นบิดาของทารกนั้น ขอจงทารกนี้รับเอาสิ่งของในมือแห่งบุรุษนั้นมาบริโภคแล้วให้อุ้มกุมารนั้นออกไปให้ทุกคนรับรู้ บุรุษกายปมนั้นได้แต่ก้อนข้าวเย็นถือมาก้อนหนึ่ง พระราชกุมารนั้นก็ เข้ากอดเอาคอ แล้วรับเอาก้อนข้าวมาบริโภค ชนทั้งปวงเห็นก็พิศวงชวนกันกล่าวติเตียนต่าง ๆ สมเด็จพระบรมกษัตริย์ก็ละอายพระทัย ได้ความอัปยศ จึงพระราชทานพระราชธิดาและพระนัดดาให้แก่บุรุษแสนปม ให้ใส่แพลอยไปถึงที่ไร่มะเขือไกลจากพระนครทางวันหนึ่ง บุรุษแสนปมก็พาบุตรภริยาขึ้นสู่ไร่อันเป็นที่อยู่ ด้วยอานุภาพแห่งชนทั้งสาม บันดาลให้สมเด็จอมรินทริราช นิมิตกายเป็นวานรน้ำทิพยเภรีมาส่งให้นายแสนปมนั้น แล้วตรัสบอกว่า ท่านจะปรารถนาสิ่งใดจงตีเภรีนี้ อาจให้สำเร็จที่ความปรารถนาทั้งสิ้น บุรุษแสนปมปรารถนาจะให้รูปปงามจึงตีกลองนั้นเข้า อันว่าปุ่มปมทั้งปวงก็อันตรธานหาย รูปชายนั้นก็งามบริสุทธิ์ จึงนำเอากลองนั้นกลับมาสู่ที่สำนัก แล้วบอกเหตุแก่ภริยา ส่วนพระนางนั้นก็กอร์ปด้วยปิติโสมนัส จึงตีกลองนิมิตทอง ให้ช่างกระทำอู่ทองให้พระราชโอรสไสยาสน์ เหตุดังนั้นพระราชกุมารจึงได้พระนาม ปรากฏว่าเจ้าอู่ทองจำเดิมแต่นั้นมา
เมื่อจุลศักราชล่วงได้ 681 ปี บิดาแห่งเจ้าอู่ทองราชกุมาร จึงประหารซึ่งทิพยเภรีนิมิตเป็นพระนครขึ้นใหม่ที่นั้น ให้นามชื่อว่าเทพนคร มีมหาชนทั้งปวงชวนกันมาอาศัยอยู่ในพระนครนั้นเป็นอันมาก พระองค์ก็ได้เสวยไอศูรียสมบัติเมืองเทพนคร ทรงพระนามกรชื่อพระเจ้าศิริไชยเชียงแสน เมื่อจุลศักราชล่วงได้ 706 ปี พระเจ้าศิริไชยเชียงแสนเสด็จดับขันธ์ทิวงคต กลองทิพย์นั้นก็อันตรฐานหาย สมเด็จพระเจ้าอู่ทองราชโอรสได้เสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดาได้ 6 พระวัสสา ทรงพระปรารภจะสร้างพระนครใหม่ จึงให้ราชบุรุษให้เที่ยวแสวงหาภูมาประเทศที่มีพรรณมัจฉาชาติบริบูรณ์ ครบทุกสิ่ง ราชบุรุษเที่ยวหามาโดยทักษิณทิศ ถึงประเทศที่หนองโสน กอรปด้วยพรรณมัจฉาชาติพร้อมบริบูรณ์ สมเด็จบรมกษัตริย์ทรงทราบ จึงยกจตุรงค์โยธาประชาราษฎรทั้งปวง มาสร้างพระนครลงในประเทศที่นั้นในกาลเมื่อจุลศักราชล่วงได้ 712 ปี ให้นามบัญญัติชื่อว่ากรุงเทพมหานครนามหนึ่ง ตามนามพระนครเดิมแห่งพระราชบิดา ให้ชื่อว่าทวาราวดี นามหนึ่ง เหตุมีคงคาล้อมรอบเป็นของเขตดุจเมือง ทวาราวดี ให้ชื่อศรีอยุธยานามหนึ่ง เหตุเป็นที่อยู่แห่งชนชราทั้งสอง อันชื่อยายศรีอายุและตาอุทะยาเป็น สามีภริยากัน อาศัยอยู่ในที่นั้น ประกอบพร้อมด้วยนามทั้งสามจึงเรียกว่า กรุงเทพหานคร บวรทวาราวดี ศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าอู่ทองได้ราชาภิเษก เสวยสวริยาธิปัตย์ถวัลราช ณ กรุงเทพมหานคร ทรงพระ นามสมเด็จพระรามาธิบดี และวันเมื่อราชาภิเษกนั้น ได้สังข์ทักษิณาวรรต ณ ภายใต้ต้นไม้หมันในพระ นคร เมื่อแรกได้ราชสมบัตินั้นพระชนม์ได้ 37 พระวัสสา แล้วให้พระบรมราชาธิราชผู้เป็นพระราชวงศ์ ผู้ใหญ่ ตรัสเรียกว่าพระเชษฐาธิราชไปปกครองสมบัติ ณ เมืองสุพรรณบุรี ให้พระนามพระราเมศวรกุมาร ไปผ่านสมบัติ ณ เมืองลพบุรี ครั้งนั้นมีเมืองประเทศราชขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร 16 เมือง คือ เมืองมะละกา เมืองชะวาเมืองตะนาวสี เมืองนครศรีธรรมราช เมืองทวาย เมืองเมาะตะมะ เมืองเมาะลา เลิง เมืองสงขลา เมืองจันทรบูร เมืองพระพิศนุโลกย์ เมืองสุโขทัย เมืองพิไชย เมืองพิจิตร เมืองสวรรคโลก เมืองกำแพงเพชร เมืองนครสวรรค์ พระองค์ทรงสร้างพุไทยสวรรค์ยาวาศวิหารและรัตนะวนาวาศรีวิหาร คือวัดป่าแก้ว พระสถิตอยู่ในราชสมบัติ 20 พระวัสสาก็เสด็จทิวงคต ”
“ท้าวแสนปม” จากบทละคร
บทละครเรื่อง “ท้าวแสนปม” เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นคำกลอนบทละคร ซึ่งเนื้อเรื่องจากบทละครนั้น ในหนังสือวัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญากำแพงเพชร หน้า 160 ได้อธิบายไว้เป็นร้อยแก้วดังข้อความต่อไปนี้
“เจ้านครไตรตรึงษ์องค์นี้นี้มีธิดานามว่าอุษา มีรูปโฉมงดงามร่ำลือไปถึงศิริชัยเชียงแสน เจ้าชายชินเสนซึ่งเป็นโอรสได้ยินข่าวก็หลงรักนาง แต่เนื่องจากทั้งสองเมืองนี้เป็นอริกันมาก่อน เจ้าชายชินเสนจึงปลอมตนเป็นชายอัปลักษณ์ เนื้อตัวมีปุ่มปมขึ้นเต็มไปหมด แล้วเข้าไปขออาศัยอยู่กับตายายที่เฝ้าอุทยาน ท้ายวังนครไตรตรึงษ์ได้ชื่อเรียกว่า “แสนปม” วันหนี่งนางอุษาออกมาชมสวน แสนปมแอบดูนางแล้วเกิดความรัก จึงนำผักที่ปลูกไว้ไปถวาย เมื่อนางอุษาเห็นแสนปมก็นึกรักเช่นเดียวกัน จึงให้พี่เลี้ยงนำหมากไปให้เป็นของตอบแทน แสนปมได้สลักมะเขือเป็นสารเกี้ยวพารานาสีนางแล้วส่งไปถวายอีก นางอุษาก็ตอบสารในที่รับรักใส่ในห่อหมากแล้วฝากมาให้แก่แสนปม แสนปมจึงทราบว่านางก็รักตนเช่นเดียวกัน คืนหนึ่งแสนปมลอบเข้าไปหานางในวัง แล้วทั้งสองก็ได้อยู่ร่วมกันโดยไม่มีใครทราบเรื่องจนกระทั่งนางอุษาตั้งครรภ์
ต่อมาแสนปมได้ทราบข่าวว่าพระเจ้าศิริชัยเชียงแสนประชวรหนัก จึงเดินทางกลับบ้านเมืองโดยไม่ทราบว่านางอุษาตั้งครรภ์ เวลาผ่านไปนางอุษาให้กำเนิดกุมารหน้าตาน่ารัก ยังความทุกข์ใจมาให้แก่เจ้านครไตรตรึงษ์ยิ่งนัก เพราะนางอุษาไม่ยอมบอกความจริง เจ้านครไตรตรึงษ์จึงหาวิธีที่จะให้รู้แน่ว่าใครเป็นบิดาของกุมาร จงป่าวประกาศให้เจ้าเมืองต่าง ๆ รวมทั้งทวยราษฎร์มาพร้อมกันที่หน้าพระลานพร้อมทั้งให้นำขนมนมเนยติดมือมาด้วย ถ้ากุมารรับขนมจากมือผู้ใดก็ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นบิดาของกุมารและจะได้อภิเษกกับนางอุษา พระชินเสนได้ข่าวก็เตรียมรี้พลมา ตั้งพระทัยจะอภิเษกกับนางอุษาให้ได้ แล้วปลอมตัวเป็นแสนปมพร้อมทั้งนำข้าวเย็นมาก้อนหนึ่งเพื่อให้กุมารเลือก ครั้นถึงเวลาที่กำหนดจึงให้กุมารเลือกขนมจากบรรดาผู้ที่นำมา ปรากฏว่ากุมารรับข้าวเย็นจากแสนปมไปเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย ท้าวไตรตรึงษ์รู้สึกอับอายอย่างมาก ด้วยความโกรธจึงขับไล่นางอุษาออกจากเมืองโดยทันที แสนปมจึงแสดงตนให้รู้ว่าตนเอง คือพระชินเสน แล้วพานางอุษาและกุมารเดินทางกลับอาณาจักรชัยเชียงแสนและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
”ท้าวแสนปม” ได้สร้างกษัตริย์ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยา
“ท้าวแสนปม” จากเรื่องเทศนาจุลยุทธการวงศ์ โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ถือว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญซึ่งนักประวัติศาสตร์นำไปสืบค้นถึงพระราชประวัติของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง) ว่าประสูติที่เมืองไตรตรึงษ์ มีพระราชมารดาเป็นธิดาของเมืองไตรตรึงษ์เชื้อสายกษัตริย์เชียงราย ส่วนพระราชบิดานั้นมีพระนามว่า “ท้าวแสนปม”หรือ “ศิริไชยเชียงแสน” ซี่งจนบัดนี้นักประวัติศาสตร์ก็ยังไม่สามารถกล่าวได้ว่ามีเชื้อสายมาจากที่ใด นอกจากนี้แล้วในเนื้อหาได้กล่าวไว้อย่าง ถูกต้องว่ามีการสร้างเมืองเทพนคร ภาพถ่ายแสดงที่ตั้งเมืองโบราณไตรตรึงษ์และเมืองโบราณเทพนคร ตรงข้ามเมืองไตรตรึงษ์
คำสำคัญ : ท้าวแสนปม
ที่มา : กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร. (2557). ประวัติศาสตร์เมืองกำแพงเพชร ยุคหิน-ปัจจุบัน (เรียบเรียงจากการสัมมนาและทบทวน เมื่อวันที่ 27-28 กันยายน 2557). กำแพงเพชร: กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร.
รวบรวมและจัดทำข้อมูล : กาญจนา จันทร์สิงห์
สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มาหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. (2563). ท้าวแสนปม 3 เรื่อง 3 ที่มา. สืบค้น 22 มิถุนายน 2568, จาก https://arit.kpru.ac.th/ap/local/?nu=pages&page_id=1297&code_db=610006&code_type=01
Google search
เดิมทีงูเหลือมเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวที่มีพิษมาก อาศัยอยูํใกล้กอไผ่ วางไข่เป็นจำนวนมาก และก็หวงไข่ของตนเองเป็นที่สุด ใครเดินผำนจะต้องฉกตายทุกคน มีชายคนหนึ่งคิดจะลองดีกับงูเหลือม จึงเอากระทะครอบหัวเป็นหมวก แล้วเดินผำนบริเวณที่งูเหลือมอาศัย อยู่ งูเหลือมเห็นคนเดิ่นผ่านมาก็ฉกอย่างแรงไปโดนกระทะ ชายคนนั้นก็วิ่งหนีไป งูเหลือมเคยกัดคนตาย เห็นตาคนนี้ไม่ตายก็เลยนึกว่าตนเองไม่มีพิษสงอีกต่อไป โมโหตัวเองคายพิษออกมากองไว้สัตว์เลื้อยคลานต่างๆ ได้ข่าวว่างูเหลือม คายพิษทิ้ง ก็อยากจะมีพิษกับเขาบ้างรีบเดินทางมาเอาพิษกันแน่นขนัด ใครมาเร็วก็ได้ไปมาก อย่างเช่น งูเห่าไฟเอาตัวคลุกพิษจนแดงไปทั้งตัว งูจงอาง งูแมวเซา งูที่ปัจจุบันมีพิษทั้งหลายมาเร็วก็ได้ไปมาก เจ้าแมงป่องมาช้าเบียดเข้าไปไม่ถึง หันหลังเข้าไป ได้แค่หางจุ่มก็เลยมีพิษที่หาง ส่วนเจ้ามดตะนอยอยากได้กะเขาบ้าง เบียดเข้าไปเลยถูกหนีบจนเอวคอด เหตุการณ์ครั้งนี้เลยทำให้สัตว์ต่างๆ มีพิษ และงูเหลือมไม่มีพิษ ตั้งแต่นั้นมา
เผยแพร่เมื่อ 03-09-2019 ผู้เช้าชม 8,425
วัดพระบรมธาตุเจดียารามเป็นวัดเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยเมื่อ 600 กว่าปีที่แล้ว ก็ยุคสุโขทัย ดินดอนบริเวณนี้ มีชื่อว่า "นครชุม" และวัดแห่งนี้ก็เป็นพระอารามหลวงประจำเมืองนครชุม มาแต่สมัยนั้น ตามข้อมูลประวัติศาสตร์ที่ค้นพบจากหลักศิลาจารึก หลักที่ 3 (จารึกนครชุม) ได้บันทึกไว้ว่า พระยาลิไท แห่งราชวงษ์สุโขทัย โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมธาตุเจดีย์ เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และปลูกพระศรีมหาโพธิ์จากลังกา ณ วัดพระบรมธาตุเจดียาราม เมื่อปี พ.ศ. 1900 ภายในวัดมีเจดีย์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่า "พระบรมธาตุเจดีย์" เป็นเจดีย์เก่าแก่ ตั้งแต่สมัยสุโขทัยเช่นกันกับตัววัด พระเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ (ดอกบัวตูม) ตั้งเรียงกันสามองค์ อยู่บนฐานเดียวกัน โดยองค์กลางของพระเจดีย์นั้นประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุ 9 องค์ อยู่ภายในภาชนะเงินรูปสำเภา พระเจดีย์องค์ปัจจุบันเป็นพระเจดีย์ทรงมอญซึ่งได้รับการบูรณะ ขึ้นภายหลัง สิ่งสำคัญอีกอย่างในวัดคือ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งชาวกำแพงเพชรเชื่อกันว่า เป็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พระยาลิไททรงปลูกเมื่อ พ.ศ.1900 เป็นต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ ประมาณ 9 คนโอบ
เผยแพร่เมื่อ 13-03-2018 ผู้เช้าชม 7,302
มีหลวงตารูปหนึ่ง ขณะเดินไปปลดทุกข์ตอนเช้า เห็นเต่าตัวใหญ่ตัวหนึ่งเกิดอยากฉันขึ้นมา พอกลับไปกุฏิมองตามช่องฝาเห็นเด็กวัดมากันแล้ว ก็เริ่มสวดมนต์ดังๆ ว่า “เด็กเอ๋ยตาไปถาน เห็นเต่าคลานตัวมันใหญ่” ซ้ำไปซ้ำมา เด็กวัดได้ยินเสียงสวดมนต์ก็ “เอ๊ะ ! วันนี้หลวงตาสวดมนต์แปลก” พากันไปฟังได้ความแล้วจึงเดินไปที่ถาน เห็นเต่าตัวใหญ่คลานอยู่จริง จึงช่วยกันจับมาฆ่าจะต้มกิน แต่เต่าตัวใหญ่มาก หาหม้อใส่ไม่ได้เถียงกันวุ่นวาย หลวงตาแอบดูอยู่ก็สวดมนต์ต่อ “หม้อนี้ใบเล็กนัก หม้อต้มกรัก จักดีกว่า” ลูกศิษย์ได้ยินจึงไปเอาหม้อต้มกรักที่ใช้ย้อมจีวรพระมาต้ม เกิดปัญหาขึ้นมาอีกว่า ต้มแล้วจะต้องใส่อะไรบ้างถึงจะรสชาติดี หลวงตาได้ยิน เด็กวัดปรึกษากัน ก็รีบสวดมนต์ต่อ “ข่าตะไคร้ มะนาว มะกรูด มะพร้าวขูด น้ำปลาดี” เด็กวัดรีบปรุงตามสูตรหลวงตา กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว หาช้อนมาชิมกัน หลวงตาเห็นแล้วก็น้ำลายหก ถ้าขืนปล่อยไว้คงอดแน่ จึงท่องมนต์บทสุดท้ายด้วยเสียงอันดังว่า “เนื้อหลังเด็กกินได้ ตับกับไข่เอาไว้ฉันเพล”
เผยแพร่เมื่อ 10-04-2020 ผู้เช้าชม 6,057
มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า พญาลิไท กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย เมื่อขึ้นครองราชย์ ณ กรุงสุโขทัย บรรดาหัวเมืองต่างๆ พากันแข็งเมือง ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจ ของพญาลิไท เช่น เมืองบางพาน เมืองคณฑี เมืองนครชุม พญาลิไท จึงเสด็จ มาด้วยพระองค์เอง พระองค์ทรงนำพระบรมสารีริกธาตุ และพระศรีมหาโพธิ์ มาจากประเทศศรีลังกา มาแสดงความเป็นไมตรี เมื่อเมืองนครชุมรับไมตรี พญาลิไท จึงนำพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์พระบรมธาตุนครชุม ซึ่งเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ สามองค์ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน องค์กลางใหญ่อยู่กลาง องค์เล็กย่อมสององค์ อยู่ด้านข้าง นอกจากนั้นได้นำ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ มาปลูกไว้เบื้องหลังพระเจดีย์
เผยแพร่เมื่อ 17-01-2020 ผู้เช้าชม 3,568
มีบทละครเรื่อง ท้าวแสนปม พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงสันนิษฐานเพิ่มเติมจากตำนานเรื่องท้าวแสนปม ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์เอาไว้ดังนี้ เมื่อราวจุลศักราช 550 พ.ศ.1731 มีพระเจ้าแผ่นดินไทยองค์หนึ่ง เป็นเชื้อวงศ์ของพระเจ้าพรหมมหาราช ทรงพระนามว่าท้าวไชยศิริ ครองเมืองฝางอยู่ ได้ถูกข้าศึกจากรามัญประเทศยกมาตีเมือง ท้าวไชยศิริสู้ ไม่ได้ จึงหนีลงมาทางใต้ พบพวกไทยที่อพยพกันลงมาแต่ก่อนแล้ว ตั้งอยู่ตำบลแพรก พวกไทยเหล่านั้นหาเจ้านายเป็นขุนครองมิได้ จึงอัญเชิญท้าวไชยศิริขึ้นเป็นขุนเหนือตน
เผยแพร่เมื่อ 02-03-2020 ผู้เช้าชม 1,968
กาลครั้งหนึ่ง เศรษฐีเลี้ยงหมากับแมวไว้ด้วยกันบนบ้าน เศรษฐีมีเพชรเม็ดหนึ่งแล้วถูกโจรขโมยขึ้นไปบนยอดเขา แมวจึงได้จับหนูมาจะกิน หนูร้องขอชีวิต บอกว่าจะให้ทำอะไรก็ยอม แมวเลยให้ไปเอาเพชรบนยอดเขามาคืน หนูทำได้สำเร็จ แมวกับหมาก็นำไปคืนให้เศรษฐีพร้อมกัน เศรษฐีชมเชยทั้งสองว่าเลี้ยงไว้ไม่เสียดายข้าวสุก ต่อมาเศรษฐีเดินทางทางเรือ เผลอทำเพชรตกน้ำอีก แมวก็เลยจับปลาไว้ ปลาร้องขอชีวิต แมวจึงให้ปลาไปคาบเพชรใต้น้ำขึ้นมา
เผยแพร่เมื่อ 27-03-2020 ผู้เช้าชม 14,721
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระเจ้าโลตึง อยู่ที่ดงอ่อนใจ เป็นคนมีอวัยวะเพศใหญ่มาก มีขนาดเท่าต้นตาล และมีนางโหตี อยู่ที่บ้านแสนตอ มีอวัยวะเพศเท่ากับวงบ่อ เวลาไปไหนมาไหนต้องมีลูกน้องแบกไป วันหนึ่งทั้งสองมาเจอกันจึงเกิดชนกันเข้าอย่างจัง ทั้งพระเจ้าโลตึงและพระนางโหตี จึงลุน (การผลักดันทำให้เกิดการเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งจนเป็นทางยาวไปเรื่อย ๆ) จึงเกิดเป็นคลองน้ำที่เรียกว่า “คลองลุน”
เผยแพร่เมื่อ 10-03-2020 ผู้เช้าชม 1,314
ณ เชิงเขาแหํงหนึ่ง มีกระท่อมอยูํหลังหนึ่ง ซึ่งมีตากับยายอาศัยอยูํ 2 คน มีอาชีพทำไรํทำนาอยูํบนเชิงเขา อยูํมาวันหนึ่งมีพระธุดงค์ได้มาปักกลดอยูํใกล้บ้านตากับยาย ตากับยายเลยคิดวำจะทำอะไรให้พระฉันดี ยายก็คิดวำผลไม้บนเชิงเขาก็ไมํคํอยมี กลัวพระจะฉันไมํอิ่ม ก็เลยคิดวำที่บ้านมีไกํอยูํ 1 ตัว และแมํไกํตัวนี้ได้มีลูกอีก 7 ตัว ยายจึงคิดจะทำแกงไกํถวายพระ แมํไกํได้ยินเข้าจึงร้องไห้ แล้วเอาปีกโอบลูกไกํทั้ง 7 ตัวไว้ แล้วบอกกับลูกวำ ลูกเอยพรุํงนี้เช้าแมํต้องตายแล้ว แล้วแมํไกํได้สอนลูกไกํทั้ง 7 ตัว วำให้รักกันให้มากๆ พอรุํงเช้ามาตาก็ก่อไฟไว้เพื่อที่เตรียมจะแกงไก่ พอลูกไกํเห็นตากำลังเชือดคอแมํไกํ ลูกไกํเห็นดังนั้นจึงเสียใจกระโดดเข้ากองไฟตายตามแมํไกํทั้ง 7 ตัว ตาจึงได้ทำแกงไก่ถวายพระด้วยความที่ลูกไกํมีใจประเสริฐนึกถึงแม่ตัวเองตลอดเวลา จึงไปเกิดเป็นดาวลูกไกํ ทั้ง 7 จนถึงปัจจุบันนี้
เผยแพร่เมื่อ 03-09-2019 ผู้เช้าชม 42,050
ที่บริเวณบ้านหัวยาง ตำบลนครชุม อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร ตรงกับตีนสะพานข้ามลำน้ำปิง ฝั่งนครชุม มีสถานที่หนึ่ง ชาวบ้านเรียกกันว่า บ้านวังแปบ เล่ากันว่าเดิมเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่ง ที่เรียกขานกันว่าเมืองแปบ เป็นเมืองโบราณ อายุกว่าพันปี ปัจจุบันน้ำกัดเซาะจนเมืองเกือบทั้งเมืองตกลงไปในลำน้ำปิง เหลือโบราณสถานไม่กี่แห่งที่เป็นหลักฐานว่าบริเวณแห่งนี้เคยเป็นเมืองสำคัญมาก่อน มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า พระเจ้าพังคราช พระราชบิดาของพระเจ้าพรหมมหาราช แห่งเมืองเชียงแสนอยู่ใต้อำนาจของขอมพระเจ้าพรหมไม่ยอม จึงต่อสู้กับขอม ตั้งแต่พระชมมายุได้เพียงสิบหกปี สามารถขับไล่ขอมมาถึงลำน้ำปิง
เผยแพร่เมื่อ 17-01-2020 ผู้เช้าชม 2,869
มีกูไว้แล้วจะไม่จน คือ ถ้อยคำประจำองค์พระซุ้มกอ ซึ่งหมายถึง พระซุ้มกอสุดยอดทางโชคลาภ เมตตามหานิยม ใครมีไว้แล้วจะร่ำรวย เป็นมหาเศรษฐี เจริญรุ่งเรือง ในชีวิต ทำให้ผู้คนทั้งประเทศปรารถนาที่จะเป็นเจ้าของพระซุ้มกอ การเช่าจึงอยู่ที่หลักล้านขึ้นไป พระซุ้มกอจึงกลายเป็น หนึ่งในเบญจภาคี หรือหนึ่งในจักรพรรดิแห่งวงการพระเครื่อง เบญจภาคี คือ การนำเอาพระเครื่องที่เป็นพระเครื่องชั้นยอดมารวมกัน 5 องค์ โดยผู้ทรงคุณวุฒิท่านหนึ่ง ในวงการพระเครื่องยุคแรก ที่วงการพระรู้จักท่านในนามปากกา " ตรียัมปวาย " เป็นผู้บัญญัติจัดตั้งขึ้น จนเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป พระเบญจภาคี 5 องค์
เผยแพร่เมื่อ 21-02-2017 ผู้เช้าชม 10,160