แกงหน่อไม้

แกงหน่อไม้

เผยแพร่เมื่อ 06-06-2022 ผู้ชม 2,120

[16.3951069, 98.9529353, แกงหน่อไม้]

บทนำ
         แกงหน่อไม้บางคนก็เรียก “แกงลาว” หรือ “แกงเปรอะ” มีใบย่างนางเป็นส่วนประกอบหลัก ใบย่านางจะช่วยเรื่องแก้ความขื่นและขมของหน่อไม้ได้เป็นอย่างดีนับว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่เอาทั้ง 2 อย่างมารวมกัน ใบย่านางเป็นพืชหาง่าย คุณสมบัติเป็นสมุนไพร นิยมคั้นเอาน้ำจากใบมาทำเป็นอาหาร มากกว่ารับประทานใบสด
         แกงหน่อไม้ เป็นอาหารอีสานที่มีส่วนประกอบในการทำไม่ยุ่งยาก ประกอบด้วย หน่อไม้สด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วลวกหรือต้ม เพื่อล้างความขมและสารบางอย่างในหน่อไม้ออกไปเสียก่อน ส่วนประกอบอื่นก็มี พริก หอม ตะไคร้ ใบย่านาง น้ำตาลทราย น้ำปลาร้า แล้วก็น้ำสะอาด สำหรับทำน้ำแกง ในส่วนของผักก็แล้วแต่ชอบ เช่น ผักขะแยง ใบแมงลัก ฝักทองหรือยอดฝักทอง (รอ นันทะโชติ, 2562 ตุลาคม 7)
         สำหรับแกงหน่อไม้ของคนอีสานในจังหวัดกำแพงเพชรจะใส่ปลาย่างเพื่อเพิ่มความหอมให้กับแกงซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น บทความนี้จึงแสดงถึงความแตกต่างระหว่างแกงหน่อไม้ของภาคอีสานกับภาคกลางว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร
         แกงหน่อหรือแกงลาว ตามภาษาภาคอีสานนั้น ได้กลายเป็นอาหารที่พบเจอกันเป็นอย่างมาก ทั่วทุกพื้นที่ในประเทศไทย ไม่เว้นแม้แต่จังหวัดกำแพงเพชร ที่มีประชาชนย้ายถิ่นฐานมาจากภาคอีสานเป็นจำนวนมาก และได้นำเอาอาหารท้องถิ่นอย่างแกงหน่อหรือแกงลาว มายังพื้นที่กำแพงเพชรด้วย นอกจากนั้นแล้วแกงหน่อไม้เป็นที่นิยมของชุมชนบ้านหนองกองพัฒนา ตำบลนาบ่อคำ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร เนื่องจากหมู่บ้าน มีการปลูกหน่อไม้เลี้ยงค่อนข้างมากแกงหน่อไม้จึงเป็นที่นิยมเพราะหากินได้ง่ายมาก

การเตรียมเครื่องปรุงและการทำ
         ปัจจุบันแกงหน่อไม้ หรือแกงหน่อ ใช้หน่อไม้สดในการปรุง ใส่เนื้อสัตว์ได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็น กระดูกหมู หรือปลาดุก ปลาช่อน ซึ่งเป็นวัตถุดิบสามารถหาได้จากในพื้นที่นั้น ๆ ซึ่งหาได้ง่ายน่าจะเห็นเมนูแกงหน่อไม้ทุกครัวเรือน แกงหน่อไม้มีหลายแบบแล้วแต่ละท้องที่และการทำแตกต่างกันนิดหน่อย ตามความชอบ คือ สามารถแกงใส่อะไรก็ได้ที่เป็นส่วนประกอบ ส่วนเครื่องปรุงที่ขาดไม่ได้คือ ปลาร้า หน่อไม้มีหลายฤดูกาลและหลายชนิด อาทิ หน่อไม่ไร่ หน่อไม้บง หน่อไม้ไผ่บ้าน หน่อไม้ฮวก ฯลฯ ซึ่งมีรสชาติแตกต่างกัน (Thai Street Food, 2562) โดยมีวิธีการเตรียมเครื่องปรุงแกงหน่อไม้ของภาคอีสานและภาคกลางโดยส่วนใหญ่ภาคอีสานจะเน้นน้ำปลาร้าและน้ำใบย่านางแต่ภาคกลางจะเน้นน้ำกะทิเป็นส่วนประกอบหลักดังตารางที่ 1 

ตารางที่ 1 แสดงอัตราส่วนผสมเครื่องปรุงแกงหน่อไม้และเครื่องพริกแกงของภาคกลางและภาคอีสาน 

รายการ

อัตราส่วน

ภาคกลาง

ภาคอีสาน

เครื่องปรุงแกงหน่อไม้

     

หน่อไม้สด

1 ถ้วย (ที่หั่นแล้ว)

 

/

หน่อไม้ดอง

1 ถ้วย (ที่หั่นแล้ว)

/

 

พริกสด

1 ถ้วยตวง

 

/

พริกแกง

3 ช้อนโต๊ะ

/

 

พริกหยวก

1 ถ้วยตวง

/

 

ตะไคร้

2 ต้น

 

/

ใบย่านาง

1 ถ้วยตวง

 

/

ปลาย่าง

2 ตัว

 

/

ไก่

ครึ่งกิโลกรัม

/

 

ปลาร้า

1 ถ้วยตวง

 

/

โหระพา

1 ถ้วยตวง

/

 

กะทิ

1 ถ้วยตวง

/

 

เครื่องพริกแกง

     

หอม

ครึ่งขีด

/

/

กระเทียม

ครึ่งขีด

/

/

กระชาย

ครึ่งขีด/1 ถ้วยตวง

/

/

ตะไคร้

ครึ่งขีด

/

 

พริกสด

ขีด

/

 

ผิวมะกรูด

ครึ่งขีด

/

 

ข่า

ครึ่งขีด

/

 

ที่มา: จากการสัมภาษณ์ 

แกงหน่อไม้ภาคอีสาน
         แกงหน่อไม้ ขึ้นชื่อว่าแกงแล้วย่อมมีรากเหง้าหรือวิธีการทำที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ส่วนใหญ่สิ่งที่แตกต่างกันมักจะทำตามความต้องการหรือความชอบของผู้บริโภค เช่นบางพื้นที่ชอบนำกะทิใส่ลงในแกง กลายเป็นแกงกะทิ หรือบางพื้นที่โดยเฉพาะในภาคอีสานมักจะนำปลาร้าใส่ลงในแกงด้วย เป็นต้น การปรุงแกงหน่อไม้ของคนภาคอีสานจะมีขั้นตอนการปรุงหลักๆ อยู่ 3 ขั้นตอนคือ การเตรียมหน่อไม้ให้พร้อมสำหรับการบริโภค การปรุงโดยการต้มพร้อมกับเครื่องแกงต่าง ๆ และตักสำหรับเสิร์ฟ
         ขั้นตอนการเตรียมหน่อไม้นี้มีวิธีการเตรียมที่ไม่แตกต่างกัน โดยขั้นตอนนี้มุ่งหวังให้เกิดหน่อไม้มีความสะอาด พร้อมสำหรับการบริโภค ซึ่งวิธีการดังกล่าวไม่มีความแตกต่างกันของทั้งภาคกลางและภาคอีสาน
         ขั้นตอนการปรุงแกงหน่อไม้ ส่วนใหญ่แล้วการทำแกงหน่อไม้ของคนภาคอีสานจะนำหน่อไม้ที่ล้างเสร็จเรียบร้อยมาสับ จากนั้นจึงนำหน่อไม้ที่สับเรียบร้อยแล้วมาต้มพร้อมกับใบย่านางเพื่อให้หน่อไม้ไม่ขมและมีรสหวาน จากนั้นจึงใส่พริกแกงที่เตรียมไว้พร้อมกับน้ำปลาร้าและต้มต่อจนเดือด(สุก)พร้อมรับประทาน

แกงหน่อไม้ภาคกลาง
         การทำแกงหน่อไม้ภาคกลางนั้นจะมีความแตกต่างจากการทำแกงหน่อไม้ภาคอีสาน ภาคกลางนั้น จะนำไก่ไปผัดกับเครื่องพริกแกงจนไก่เริ่มสุกหรือสุกก่อน จึงจะนำไปแกงพร้อมกับกะทิและหน่อไม้ดอง รอจนเดือดและปรุงรสตามต้องการ เมื่อไก่และหน่อไม้สุกพร้อมได้รสชาติที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว คนภาคกลางจะใส่   พริกหยวกและใบโหระพาเพิ่มความหอมและน่ารับประทาน หลังจากนั้นจึงตักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟนั้นเอง 

การเสิร์ฟ/การรับประทานอาหาร
         ชาวบ้านที่เป็นคนไทยภาคกลางนั้นมักจะนิยมรับประทานแกงหน่อไม้คู่กับข้าวสวย แต่คนไทยภาคอีสานมักจะรับประทานแกงหน่อไม้คู่กับข้าวเหนียว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่น ไม่ว่าคนไทยอีสานจะอพยพไปอยู่ในที่ใดก็มักจะนำวิถีชีวิตการรับประทานเช่นนี้ไปด้วยทุกที่ ไม่เว้นแม้แต่คนไทยอีสานในจังหวัดกำแพงเพชร

ข้อแตกต่างระหว่างแกงหน่อไม้ภาคอีสานและแกงหน่อไม้ภาคกลาง
         ข้อแตกต่างระหว่างแกงหน่อไม้ภาคกลางและภาคอีสาน อย่างแรกที่แตกต่างกันคงหนี้ไม่พ้นเครื่องปรุงและวัตถุดิบซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้
         1. หน่อไม้ แกงหน่อไม้ของคนภาคอีสานจะนิยมใช้หน่อไม้สดแต่แกงหน่อไม้ของภาคกลางนั้นจะนิยมใช้หน่อไม้ดอง
         2. เนื้อสัตว์ แกงหน่อไม้ของคนภาคอีสานจะนิยมใส่ปลาร้า แต่แกงหน่อไม้ของภาคกลางนั้นจะนิยมใส่ไก่เป็นเนื้อสัตว์แทน
         3. พริกสด/พริกหยวก แกงหน่อไม้ของคนภาคอีสานจะนิยมใส่พริกสดลงในแกง แต่แกงหน่อไม้ของภาคกลางนั้นจะนิยมใส่พริกหยวก เป็นเครื่องโรยหน้าแกง
         4. กะทิ แกงหน่อไม้ของคนภาคอีสานจะไม่ใส่กะทิ แต่แกงหน่อไม้ของภาคกลางนั้นจะนิยมใส่กะทิอยู่ในแกงหน่อไม้
         5. หอม กระเทียม กระชาย เป็นองค์ประกอบของเครื่องพริกแกงที่นิยมใส่ในเครื่องแกงทั้งของภาคอีสานและภาคกลาง ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่เหมือนกันของทั้ง 2 ภาค
         จากความเหมือนและความแตกต่างดังกล่าวเราจะเห็นว่า วัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงแกงหน่อไม้จะมีพืชสมุนไพรเป็นองค์ประกอบหลักทั้งตะไคร้ กระชาย พริกสด พริกหยวก โหระพา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น วัตถุดิบแต่ละอย่างมีสรรพคุณดังนี้
         1. หน่อไม้         
         สรรพคุณของหน่อไม้ช่วยลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ป้องกันอาการท้องผูก ช่วยย่อยอาหาร เพราะหน่อไม้เป็นอาหารที่มีเส้นใยสูง จึงช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้  เมื่อหน่อไม้ผ่านการย่อยร่างกายจะดูดซึมสารอาหารเข้าสู่กระแสเลือด ส่วนกากอาหารที่เหลือหรือสารพิษต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลงหรือโลหะหนักจะไปรวมกันที่ลำไส้ใหญ่ (รอ นันทะโชติ, 2562 ตุลาคม 7)
         2. ไก่
         สรรพคุณของไก่ในทางแพทย์แผนจีนกล่าวไว้ว่า เนื้อไก่มีคุณสมบัติร้อน(จัดเป็นหยาง) รสหวาน ใช้บำรุงร่างกาย ทำให้กระดูกและเอ็นแข็งแรง ทำให้ประจำเดือนปกติ รักษาอาการระดูขาวมากกว่าปกติ ชาวจีนเชื่อว่า เนื้อไก่ตัวผู้ มีคุณสมบัติค่อนไปทางร้อน(หยาง) ใช้บำรุงร่างกาย ส่วนเนื้อไก่ตัวเมียมีคุณ สมบัติเย็น (ยิน) ใช้บำรุงร่างกายเช่นกัน เหมาะสำหรับเป็นอาหารของคนชรา สตรีหลังคลอดบุตร และผู้ป่วยที่ป่วยนาน ๆ (รอ นันทะโชติ, 2562 ตุลาคม 7)
         3. พริกหยวก
         สรรพคุณของพริกหยวกมีสารแคปไซซิน ซึ่งมีประโยชน์ต่อคนป่วยเป็นโรคเบาหวาน เพราะช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงและมีประโยชน์ด้านอื่น ๆ คือ
             3.1 พริกหยวกช่วยให้ระดับของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดลดลง โดยการเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี ทำให้ระดับไขมันแต่ละชนิดมีความสมดุลกัน
             3.2 พริกหยวกมีคุณสมบัติที่ช่วยขยายหลอดเลือดและเลือดสามารถไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้มากและดีขึ้น ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดตีบตันได้ดี
             3.3 สรรพคุณของพริกหยวกอุดมด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่จะป้องกันความเสื่อมของเซลล์ ลดโอกาสเกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด
             3.4 พริกหยวกมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ จากสารแคปไซซินที่มีสรรพคุณช่วยให้หลอดเลือดอ่อนตัว ซึ่งจะส่งผลทำให้สลายลิ่มเลือดได้เร็ว และเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรง มีความยืดหยุ่นรับแรงดันในระดับต่าง ๆ ได้ดี
             3.5 พริกหยวกช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย ช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
             3.6 ประโยชน์ของพริกหยวกทำให้รู้สึกอารมณ์ดี สดชื่น แจ่มใส โดยจะช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอนดอร์ฟินซึ่งมีฤทธิ์ทำให้เกิดความผ่อนคลายและรู้สึกมีความสุข
             3.7 พริกหยวกมีสรรพคุณช่วยลดอาการเจ็บปวด เช่น ปวดฟัน เจ็บคอ ผิวหนังอักเสบ ฯลฯ เพราะสารแคปไซซินจะมีผลช่วยชะลอความรู้สึกเจ็บปวดที่ปลายประสาทของสมองส่วนกลางให้ช้าลง
             3.8 พริกหยวกช่วยกระตุ้นความรู้สึกอยากกินอาหาร ทำให้เจริญอาหาร และยังมีประโยชน์ต่อระบบการย่อย ช่วยกระตุ้นน้ำย่อยทำให้สามารถย่อยอาหารได้ดีขึ้น
             3.9 สรรพคุณพริกหยวกมีฤทธิ์ช่วยขับเหงื่อ แก้อาเจียน บรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ และแก้หวัด โดยสารแคปไซซินจะช่วยลดน้ำมูกทำให้การหายใจสะดวกขึ้น ช่วยบำบัดอาการภูมิแพ้ต่าง ๆ ได้
             3.10 พริกหยวกมีสรรพคุณที่สามารถนำไปผสมกับขี้ผึ้งใช้เป็นยาทาภายนอก เพื่อรักษาอาการปวดเมื่อยที่มีสาเหตุจากไขข้ออักเสบ ทำให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น
             3.11 พริกหยวกมีประโยชน์ช่วยขับลมซึ่งจะช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ (เมดไทย,2562) ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภคทั้งสิ้น
         4. โหระพา
         โหระพามีสรรพคุณช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย พร้อมส่งเสริมการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติ เมื่อรับประทานโหระพาเป็นประจำ จึงทำให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยได้ง่าย แถมยังลดความเสี่ยงการป่วยด้วยโรคร้ายต่าง ๆ อาทิ
             4.1 แก้อาการท้องอืด ใบโหระพามีสรรพคุณลดการบีบตัวของลำไส้ ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารกระตุ้นระบบการย่อยอาหารให้มีประสิทธิภาพ จึงสามารถแก้อาการท้องอืด แน่นท้อง ได้เป็นอย่างดี   
             4.2 สร้างความผ่อนคลาย ลดความเครียดน้ำมันหอมระเหยในใบโหระพา จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการผ่อนคลาย ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ ลดความวิตกกังวล คลายเครียด และลดอาการซึมเศร้าได้เป็นอย่างดี
             4.3 ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ใบโหระพามีส่วนช่วยในการลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูงได้
             4.4 บรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน การทานใบโหระพาจะช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ โดยจะช่วยให้อาการดีขึ้น และรู้สึกผ่อนคลาย สดชื่น สบายตัวมากกว่าเดิม เพราะใบโหระพามีสรรพคุณในการลดอาการคลื่นไส้ และด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบโหระพา ก็จะช่วยให้เกิดความผ่อนคลาย จึงหยุดยั้งอาการคลื่นไส้อาเจียนนั่นเอง
             4.5 แก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ ผู้หญิงมักจะเจอกับปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติ ไม่ว่าจะมามาก มาน้อย มาสองครั้งในเดือนเดียว มาแบบกะปริบกะปรอย หรือมาบ้างไม่มาบ้าง เมื่อทานใบโหระพาเป็นประจำ จะช่วยแก้ปัญหาได้ เพราะใบโหระพาจะช่วยกระตุ้นให้ฮอร์โมนเพศให้ทำงานปกติและเกิดความสมดุล จึงทำให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ
             4.6 ช่วยให้เจริญอาหาร สำหรับคนที่มีอาการเบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อย ลองใส่ใบโหระพาลงในเมนูอาหารกันดู หรืออาจนำมาทานใบสดๆ พร้อมกับอาหาร จะช่วยให้เจริญอาหารได้ดีมาก จากที่เคยตัวเล็กน้ำหนักน้อย ดูเหมือนคนขาดสารอาหาร น้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นมาอย่างเหมาะสมตามเกณฑ์มาตรฐาน (รอ นันทะโชติ, 2562 ตุลาคม 7)
         5. หอมแดง
         สรรพคุณของหอมแดงช่วยให้เจริญอาหาร สำหรับผู้ที่รู้สึกทานอาหารได้น้อย ไม่ค่อยรู้สึกหิว หรือเบื่ออาหาร ให้ลองนำหอมแดงมาใช้ในการปรุงอาหาร ไม่ว่าจะเป็นยำวุ้นเส้น ไข่เจียวใส่หอมแดง หรือแม้แต่ซุปหัวหอม กลิ่นหอมแดงจะช่วยกระตุ้นร่างกายให้รู้สึกอยากอาหารมากยิ่งขึ้น รสชาติของหอมแดงยังช่วยทำให้กับข้าวอร่อยมากขึ้นด้วยและมีประโยชน์ด้านอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
             5.1 ป้องกันโรคหัวใจและช่วยลดความดันโลหิต หอมแดงอุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น เนื่องจากในหอมแดงมีสารเคอร์ซิติน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกาย และช่วยลดการอักเสบได้เป็นอย่างดี
             5.2 บำรุงสมอง ในหอมแดงนั้นเต็มไปด้วยธาตุฟอสฟอรัส การทานหอมแดงบ่อย ๆ จะช่วยบำรุงสมอง ทำให้ความจำดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
             5.3 ป้องกันมะเร็ง เนื่องจากมีผลการวิจัยค้นพบว่า สารเคอร์ซิตินและสารฟลาโวนอยด์ที่มีอยู่ในหอมแดง มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุในการก่อโรคมะเร็งได้
             5.4 ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น หอมแดงเป็นสมุนไพรอีกหนึ่งชนิดที่มีฤทธิ์เผ็ดร้อน จึงมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มอุณหภูมิภายในร่างกาย
             5.5 ช่วยไล่แมลงสาบ สำหรับบ้านไหนที่มีปัญหาแมลงสาบมาคอยกวนใจ ให้ลองนำหอมแดงมาหั่นเป็นแผ่น แล้วนำไปวางบริเวณที่แมลงสาบชอบเข้ามา ในหอมแดงนั้นเต็มไปด้วยสารกำมะถัน ที่มีกลิ่นฉุน จึงสามารถช่วยขับไล่แมลงสาบ ไม่ให้มากวนใจได้ (เมดไทย, 2562)
         6. กระเทียม
         สรรพคุณของกระเทียมช่วยบำรุงผิวหนังให้มีสุขภาพดีและแข็งแรงและมีประโยชน์ด้านอื่น ๆ อาทิ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกายและเสริมสร้างการเจริญเติบโต ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด ปรับสมดุลในร่างกาย แก้อาการวิงเวียนศีรษะ อาการมึนงง ปวดศีรษะ หูอื้อ ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงของหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ช่วยในเรื่องระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินปัสสาวะ เพราะมีสารที่ช่วยควบคุมฮอร์โมนทั้งหญิงและชาย ช่วยทำให้มดลูกบีบตัว เพิ่มพละกำลังให้มีเรี่ยวแรง (เมดไทย, 2562)
         7. ตะไคร้
         สรรพคุณของตะไคร้มีส่วนช่วยในการขับเหงื่อและมีประโยชน์ด้านอื่น ๆ อีกมากมายอาทิ เป็นยาบำรุงธาตุไฟให้เจริญ (ต้นตะไคร้) มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยในการเจริญอาหาร สารสกัดจากตะไคร้ช่วยในการป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ แก้และบรรเทาอาการไข้ หวัด ไอและอาการปวดศีรษะน้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้สามารถบรรเทาอาการปวดได้ (รอ นันทะโชติ, 2562 ตุลาคม 7)         
         8. กระชาย
         สรรพคุณของกระชายช่วยบำรุงกระดูก ช่วยทำให้กระดูกไม่เปราะบาง ปรับสมดุลของความดันโลหิตในร่างกายและปรับสมดุลของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย ช่วยบำรุงกำหนัด แก้อาการกามตายด้าน (เหง้าใต้ดิน) ช่วยบำรุงสมองและแก้โรคในปากและคอ เช่น ปากเปื่อย ปากแห้ง ปากเป็นแผล (ใบ, เหง้า) (เมดไทย,2562)
         9. ใบย่านาง       
         สรรพคุณของใบย่านาง ในตำราสมุนไพรจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะและมีประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ปรับสมดุลของร่างกาย ช่วยในการเผาผลาญไขมันและนำไปใช้เป็นพลังงานช่วยป้องกันและลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ และมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระจำนวนมากจึงช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วและความแก่ชราอย่างได้ผล (เมดไทย, 2562)
         จากสรรพคุณของส่วนประสมต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดเป็นแกงหน่อไม้นี้นั่น ทำให้เรารู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นแกงหน่อไม้ในภาคอีสานหรือภาคกลางก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีส่วนประสมหลักๆที่คล้ายคลึงกัน นั่นก็คือ สมุนไพรชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ข่า ตระไคร้ ใบย่านาง ล้วนแล้วแต่เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่หาได้ง่าย มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ซึ่งสิ่งนี้สะท้อนความเป็นไทย ในการเป็นอู่ข้าว อู่น้ำ เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ในภาคไหน เมืองไทยก็มีของดีมีประโยชน์เสมอ

คำสำคัญ : แกงหน่อไม้

ที่มา : https://acc.kpru.ac.th/KPPStudies/index.php?title=แกงหน่อไม้กับความหลากหลายด้านถิ่นกำเนิด

รวบรวมและจัดทำข้อมูล : กาญจนา จันทร์สิงห์


สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มาหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. (2565). แกงหน่อไม้. สืบค้น 17 กรกฎาคม 2567, จาก https://arit.kpru.ac.th/ap2/local/?code_db=610008&code_type=01&nu=pages&page_id=2090

Facebook Twitter LINE Linkedin

PDF

https://arit.kpru.ac.th/ap2/local/?nu=pages&page_id=2090&code_db=610008&code_type=01

Google search

Mic

ขนมถ้วยฟู

ขนมถ้วยฟู

ขนมถ้วยฟู เป็นขนมโบราณที่นำเข้ามาในเมืองไทยเราโดยคนจีน และเป็นอีก 1 ใน 9 ของขนมมงคลของคนไทย ชาวจีนเรียกขนมถ้วยฟูว่า ฮวดโก้ย หมายถึง มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง เฟื่องฟู จึงเป็นอีกขนมหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในงานมงคล ชาวจีนและชาวไทย นิยมนำไปไหว้เจ้า หรือประกอบพิธีงานมงคลต่างๆ ในงานแต่งงานนิยมทำขนมถ้วยฟูเป็นสีแดง ใช้ไหว้เจ้าหรืองานมงคลต่างๆนิยมใช้สีชมพู ใช้ในงานอวมงคล หรือไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วนิยมใช้สีขาว ในปัจจุบันยังหาทานได้ง่าย มีหลากหลายสี เช่น ชมพู เขียว ขาว ฟ้า

เผยแพร่เมื่อ 26-02-2017 ผู้เช้าชม 4,896

ขนมตะโก้

ขนมตะโก้

ขนมตะโก้มีแบบหลากหลายไส้ให้เลือกกิน ทั้งตะโก้เผือก ตะโก้แห้ว ตะโก้ข้าวโพด หรือจะเป็นตะโก้สาคู ถ้วยเล็ก ๆ หยิบจับใส่ปากคำเดียว แต่คนสมัยใหม่ไม่ค่อยนิยมรับประทานกันจึงทำให้หาทานอยากคนส่วนใหญ่มักจะนิยมซื้อมาใส่บาตรทำบุญกัน

เผยแพร่เมื่อ 27-02-2017 ผู้เช้าชม 5,969

ขนมด้วง

ขนมด้วง

ขนมด้วง ขนมสีสันสดใส น่ารับประทาน ความพิถีพิถันอยู่ที่ต้องผสมแป้งนวดกับน้ำลอยดอกไม้ ทำให้ขนมที่ได้ออกมามีกลิ่นหอม โดยนำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำครึ่งถ้วยตวง นำแป้งข้าวเจ้าลงกวนให้สุก เสร็จแล้วนำออกมานวดกับแป้งมันสำปะหลัง แล้วแบ่งเป็นลักษณะท่อนยาว และนำมาใส่พิมพ์ทำตัวขนมด้วง นำไปนึ่งประมาณ 10 นาที ให้สุกดี แล้วยกลงแช่ในน้ำเย็นเพื่อให้ตัวด้วงแยกออกจากกัน เคี่ยวกะทิในระดับปานกลางจนเดือดและใส่เกลือ พร้อมยกลงพัก ใส่ตัวด้วงลงในกะทิที่พักไว้และใช้เทียนอบ ปิดฝาหม้อไว้เพื่อเพิ่มความหอมของขนมตัวด้วง นำน้ำตาลทรายผสมกับงาคั่วโรยหน้าขนมด้วงพร้อมเสิร์ฟ

เผยแพร่เมื่อ 02-04-2019 ผู้เช้าชม 9,826

ขนมสอดไส้

ขนมสอดไส้

ขนมใส่ไส้  หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ขนมสอดไส้"  เป็นขนมไทยที่ใช้ในพิธีขันหมากในสมัยโบราณ  ขนมใส่ไส้นี้ห่อด้วยใบตองแล้วมีเตี่ยวคาด (เตี่ยวก็คือทางมะพร้าว) ห่อเป็นทรงสูง  ขนมใส่ไส้มีกลิ่นหอมและหวานจากตัวไส้ รสเค็มมันด้วยหน้ากะทิที่สดใหม่ หน้าข้นพอดี ไม่เละ เป็นขนมไทยโบราณพื้นบ้านชนิดหนึ่งหารับประทานได้ง่ายราคาถูกมีรสหวานหอม รับประทานได้ทุกเพศทุกวัยทำจากแป้งกะทิและน้ำตาลส่วนประกอบของขนมมีสามส่วนคือไส้กระฉีก แป้งสำหรับห่อไส้ และหน้าขนม

 

 

เผยแพร่เมื่อ 12-03-2017 ผู้เช้าชม 6,339

ขนมไข่

ขนมไข่

ขนมไข่ เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ชาวจังหวัดกำแพงเพชรนิยมรับประทานกันมายาวนานแต่เดี่ยวนี้หาร้านอร่อยๆ หาทานอยากและยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูงเพราะมีส่วนผสมของแป้งไข่และน้ำตาลเป็นหลักขนมไข่เป็นขนมโบราณอย่างหนึ่งควรอนุรักษ์ไว้เพื่อให้ลูกหลานรุ่นหลังได้รู้จักและเห็นคุณค่าของขนมโบราณ

เผยแพร่เมื่อ 18-03-2017 ผู้เช้าชม 5,011

ขนมฝักบัว

ขนมฝักบัว

ขนมฝักบัว ขนมพื้นบ้านนครชุม หลากหลายวัฒนธรรม สืบทอดผ่านวิถีแห่งการกิน โดยการนำส่วนผสมทั้ง 5 อย่างรวมกันแล้วนวดแป้งให้เข้ากันเติมน้ำให้แป้งละลาย พอได้ที่ นำกระทะตั้งไฟใส่น้ำมัน พอร้อนนำแป้งที่เตรียมไว้หยอดลงในกระทะแล้วใช้ช้อนตักน้ำมันลาดตรงแป้งที่กำลังทอด แป้งก็จะฟูตรงกลาง ทำให้เหมือน ฝักบัว (แต่จะทอดได้ครั้งละ 1 ชิ้น เท่านั้น )

 

เผยแพร่เมื่อ 02-04-2019 ผู้เช้าชม 1,627

กระยาสารทกล้วยไข่จากรากเหง้าสู่ผลิตภัณฑ์ชุมชน

กระยาสารทกล้วยไข่จากรากเหง้าสู่ผลิตภัณฑ์ชุมชน

กระยาสารท ขนมไทยโบราณที่มีมาแต่ครั้นสมัยสุโขทัย เช่นเดียวกับข้าวมธุปายาสหรือข้าวทิพย์ที่คนไทยมักจะนิยมทำขึ้นในเทศกาลสารทไทย เพื่อถวายเป็นอาหารแก่พระภิกษุสงฆ์ กระยาสารทจึงกลายเป็นเครื่องบ่งชี้หรือแสดงออกถึงคุณค่าทางวัฒนธรรม ความเชื่อที่คนไทยมีต่อพระพุทธศาสนา ในปัจจุบันกระยาสารทกลายเป็นขนมไทยหายาก เนื่องจากมีขั้นตอนการผลิตที่ยุ่งยาก รวมกับความร้อนที่เกิดจากท่อนฟืน ทำให้คนในปัจจุบันหันมาซื้อรับประทานแทนที่จะทำกินเองภายในครอบครัว ดังเช่นครั้งในอดีต

เผยแพร่เมื่อ 02-06-2022 ผู้เช้าชม 894

แกงหยวกกล้วย

แกงหยวกกล้วย

หยวกหรือต้นกล้วย ส่วนที่นำมาแกง คือใจกลางต้นที่ยังอ่อนอยู่ นิยมแกงใส่ไก่บ้าน และวุ้นเส้น บ้างแกงใส่ปลาแห้ง มีวิธีการแกงเช่นเดียวกับแกงอ่อมเนื้อต่างๆ อีกแบบหนึ่งมีวิธีการแกงเช่นเดียวกับแกงผักหวาน สูตรที่แกงแบบเดียวกับแกงอ่อมเนื้อต่างๆ นั้น นิยมใช้เลี้ยงแขกในงานบุญต่างๆ หรืองานอื่นๆ เมื่อทำหม้อใหญ่ ไม่นิยมใส่วุ้นเส้น

เผยแพร่เมื่อ 02-04-2019 ผู้เช้าชม 5,564

ขนมถ้วย

ขนมถ้วย

ขนมถ้วยตะไล คนสมัยนี้ส่วนใหญ่จะเรียกว่า “ขนมถ้วย”เฉย ๆ ขนมถ้วยตะไล นี้เป็นขนมไทยโบราณอีกชนิดหนึ่งที่หารับประทานได้ไม่ยากนัก เพราะมีวิธีการทำที่ไม่ยุ่งยาก วัตถุดิบก็หาได้ง่าย คือ แป้งข้าวจ้าว น้ำตาลมะพร้าว หรือน้ำตาลโตนด กะทิ เกลือโดยมีวิธีการขั้นตอน 2 ข้อนตอน คือขั้นตอนแรกการทำตัวขนม โดยใช้แป้งข้าวจ้าว ผสมน้ำตาลมะพร้าวหรือน้ำตาลโตนด ใส่ถ้วยตะไล ประมาณครึ่งถ้วยนำไปนึ่งให้สุก ยกลงพักไว้ขั้นตอนที่สองขั้นตอนการทำหน้าขนมถ้วย ใช้แป้งข้าวจ้าวผสมกะทิ และเกลือ ชิมรสมันเค็มนำไปหยอดหน้าขนมถ้วยที่นึ่งส่วนตัวไว้แล้ว นำไปนึ่งให้สุก

เผยแพร่เมื่อ 26-02-2017 ผู้เช้าชม 14,349

กล้วยกวนลานดอกไม้

กล้วยกวนลานดอกไม้

กล้วยกวนเป็นผลไม้แปรรูปชนิดหนึ่งที่นำกล้วยมาแปรรูปเพื่อคงสภาพกล้วยไม่ให้เกิดเน่าเสียและสามารถเก็บไว้ได้นาน กล้วยกวนลานดอกไม้เป็นกล้วยกวนแปรรูปของกำแพงเพชร โดยเริ่มจากนางสาวรุ่งนภา ไหววิจิตร ประธานกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเกาะน้ำโจนสามัคคี ที่ได้อบรมกับสมาชิกและองค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อคิดค้นทำผลิตภัณฑ์กล้วยกวน จนได้รับเป็นสินค้า OTOP 5 ดาว ของกำแพงเพชร บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษา 1) ประวัติความเป็นมาของกล้วย 2) ลักษณะและรสชาติของกล้วยกวน 3) วัสดุผลิตภัณฑ์ 4) กระบวนการผลิต/ขั้นตอนการใช้งาน 5) รางวัลและเกียรติบัตรที่ได้รับ

เผยแพร่เมื่อ 02-06-2022 ผู้เช้าชม 2,031