Kamphaeng Phet Rajabhat University

เขตข้อมูล รายการ
ฐานข้อมูล

วิทยานิพนธ์/Thesis

เลขทะเบียน

20190927150409

ชื่อเรื่อง

การพัฒนาเครื่องนวดผลไม้เพื่อการแปรรูปอาหาร

ชื่อเรื่องรอง

The development of fruit crushing machine.

ผู้แต่ง

นิวา กาวี

ปี

2553

หัวเรื่อง

ผลไม้ - การแปรรูปอาหาร

สถานที่พิมพ์

มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ

รายละเอียด

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาเครื่องนวดผลไม้ 2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของเครื่องนวดผลไม้ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้เครื่องนวดผลไม้ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี 5 คน แม่บ้านเกษตรกร บ้านป่ายางเหนือ 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม จำนวน 3 ชุด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. การพัฒนาเครื่องนวดผลไม้เพื่อการแปรรูปอาหารพบว่า ค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการออกแบบ ได้แก่ สามารถทำงานได้จริง มีขนาดที่เหมาะสมกับการใช้งาน มีค่าเฉลี่ย (μ = 4.90) ด้านการเลือกใช้วัสดุ ได้แก่ วัสดุและอุปกรณ์หาซื้อได้ง่ายในท้องถิ่น ราคาประหยัด เหมาะสมกับการนำมาประกอบเป็นเครื่องนวดผลไม้ มีค่าเฉลี่ย (μ = 4.80) ด้านคุณค่าของเครื่อง ได้แก่ สามารถใช้แทนแรงงานคนได้ และสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง มีค่าเฉลี่ย (μ = 4.40) ด้านชุดต้นกำลัง ได้แก่ ขนาดของมอเตอร์มีความเหมาะสมกับการใช้งาน คุ้มทุนในระยะเวลาอันสั้น การส่งถ่ายกำลังกลมีความเหมาะสม มีค่าเฉลี่ย (μ = 4.39) 2. ประสิทธิภาพของเครื่องนวดผลไม้ โดยการทดสอบการแปรรูปผลไม้ จำนวน 5 ครั้ง พบว่าประสิทธิภาพการใช้งานของเครื่องนวดผลไม้เพื่อการแปรรูปอาหารโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยทดลองนวดผลไม้ 2 ชนิดคือ มะยม และมะนาว โดยเปรียบเทียบกับการใช้แรงงานคน การทดสอบการนวดมะยมทั้ง 5 ครั้ง ครั้งละ 6 กิโลกรัม ใช้หินแกรนิต 2 แผ่นน้ำหนักรวม 17 กิโลกรัม เฉลี่ยใช้เวลาในการนวด 5 นาที ซึ่งการนวดด้วยแรงงานคนจะใช้เวลาในการนวด ครั้งละ 20 นาที การทดสอบการนวดมะนาวทั้ง 5 ครั้ง ครั้งละ 6 กิโลกรัม เมื่อใช้หินแกรนิต 2 แผ่นน้ำหนัก รวม 17 กิโลกรัม เฉลี่ยใช้เวลาในการนวดมะนาว 4 นาที ซึ่งการนวดด้วยแรงงานคน จะใช้เวลาในการนวด ครั้งละ 10 นาที 3. ความพึงพอใจจากผู้ใช้เครื่องนวดผลไม้ พบว่าค่าเฉลี่ยโดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ สามารถทำงานได้จริง มีค่าเฉลี่ย (μ = 5.00) มีความปลอดภัยในการใช้งาน มีค่าเฉลี่ย (μ = 4.80) มีความแข็งแรงทนทาน มีค่าเฉลี่ย (μ = 4.90) สะดวกต่อการใช้งาน มีค่าเฉลี่ย (μ = 4.80) เครื่องมีประสิทธิภาพในการทำงาน มีค่าเฉลี่ย (μ = 4.80) วัสดุและอุปกรณ์หาได้ง่าย มีราคาถูก (μ = 4.60) มีประโยชน์ในการประกอบอาชีพได้ (μ = 4.90) ความเหมาะสมด้านราคา (μ = 4.60) มีเทคนิคในการทำงานที่เหมาะสม (μ = 4.80) ความเหมาะสมด้านพลังงานที่นำมาใช้ (μ = 4.80)

ไฟล์เอกสาร ที่ 1

01.pdf

ไฟล์เอกสาร ที่ 2

02.pdf

ไฟล์เอกสาร ที่ 3

03.pdf

ไฟล์เอกสาร ที่ 4

04.pdf

ไฟล์เอกสาร ที่ 5

05.pdf

ไฟล์เอกสาร ที่ 6

06.pdf

ไฟล์เอกสาร ที่ 7

07.pdf

ไฟล์เอกสาร ที่ 8

08.pdf

ไฟล์เอกสาร ที่ 9

09.pdf

ไฟล์เอกสาร ที่ 10

10.pdf

ไฟล์เอกสาร ที่ 11

11.pdf

ไฟล์เอกสาร ที่ 12

12.pdf

ไฟล์เอกสาร ที่ 13

13.pdf