รำแม่ศรีจังหวัดกำแพงเพชร
เผยแพร่เมื่อ 24-09-2024 ผู้ชม 467
[16.5733844, 99.3485704, รำแม่ศรีจังหวัดกำแพงเพชร]
บทนำ
รําแม่ศรี เป็นชื่อที่ใช้เรียกการรํา ที่ได้นําการละเล่นการเข้าทรงในสมัยโบราณมาประยุกต์ให้เข้ากับศิลปะการรําของภาคกลางของชาวบ้านปากคลองสวนหมากหรือในปัจจุบันคือนครชุม โดยเป็นการเข้าทรงแม่ศรี หลักเมือง ตํานานกล่าวกันว่าที่เวียงจันทน์มีสตรีนามว่าสีได้ตั้งครรภ์ท้องแก่ได้ยอมสละชีวิตตัวเองลงไปฝังอยู่กับเสาหลักเมืองเพื่อเป็นผีบรรพบุรุษคอยปกป้องคุ้มครองลูกหลาน คนสมัยก่อนจึงมีความเชื่อเรื่องการเข้าทรง เพื่อให้แม่ศรีหลักเมืองอยู่คุ้มครองลูกหลาน จนความเชื่อเรื่องการเข้าทรงถูกแพร่กระจายไปตามกาลเวลาและเข้ามาสู่ประเทศไทยและได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นการละเล่นจนมาเป็นการรําแม่ศรี โดยบทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของรําแม่ศรีจังหวัดกําแพงเพชร บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ประวัติ ของรําแม่ศรี 2) อุปกรณ์/ขั้นตอน/วิธการรําแม่ศรี 3) ท่าการแสดงจําเพาะของรําแม่ศรี 4) เพลงที่ใช้ในการแสดงรําแม่ศรี และ 5) จํานวนผู้แสดง การแต่งกาย เครื่องประดับรําแม่ศรี
ประวัติและความเป็นมา
ในอดีตประมาณพุทธศักราช 2107 เวียงจันทร์มีความเชื่อเกี่ยวกับบรรพบุรุษเสาหลักเมือง โดยการให้ มนุษย์ลงไปฝั่งในเสาเพื่อเป็นผีบรรพบุรุษคอยปกป้องลูกหลานหรือบ้านเมือง จึงมีสตรีนามว่า “สาวสี” เป็นหญิง ตั้งครรภ์ท้องแก่สละชีวิตตนเองเพื่อฝังร่างพร้อมกับเสาหลักเมืองเพื่อเป็นผีบรรพบุรุษ ต่อมาในปีพุทธศักราช 2369 ชาวเวียงจันทน์เข้ามาอาศัยในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี พ.ศ.2310-2325 ได้มีการโยกย้ายตั้งแต่ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เหตุครั้งนี้เป็นเพราะเนื่องจาก การก่อกบฏของเจ้าอนุวงศ์ พ.ศ.2369-2371 เมื่อมีการต่อสู้สิ้นสุดลงและกรุงเทพเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ให้ตอนผู้คนจากเวียงจันทน์กลับมาให้มากที่สุด ชาวลาว ที่ย้ายถิ่นเข้ามาทั้งที่ถูกกวาดต้อนและอพยพ ถูกส่งไปยังเมืองต่าง ๆ ในเขตหัวเมืองชั้นในทิศตะวันตก หรือ เรียกว่า ชาวบ้านปากคลอง โดยอยู่รวมกลุ่มกับชาวลาวที่มาอยู่ก่อน ชาวบ้านปากคลองมีหลายชนชาติมาอาศัย อยู่มาก นอกจากลาวเวียงจันทน์แล้วยังมีชาวกะเหรี่ยง รวมถึงชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ชาวจีนแผ่นดินใหญ่อพยพ มาอยู่กันมากมาย คนที่มาอยู่บ้านปากคลองได้ ต้องเป็นคนเข้มแข็ง และแกร่งจริง ๆ เพราะเล่ากันว่า เมื่อจะขึ้น ล่องจากปากน้ําโพ ไปเมืองตาก ต้องผ่านบ้านปากคลอง ว่าต้องหันหน้าไปมองทางฝั่งกําแพง ถ้ามองมาทางบ้าน ปากคลองจะเป็นไข้ป่าตายเป็นสิ่งที่คนกลัวกันมากจนลือกันไปทั่วกําแพง ปากน้ําโพ และเมืองระแหง การละเล่น รําแม่ศรีมีถิ่นกําเนิดมาจากลาวหรือในสมัยก่อนเรียกชาวเวียงจันทร์ตามชื่อเมือง ไม่มีข้อมูลปรากฏว่าใครเป็นผู้ ริเริ่ม ซึ่งได้รับอิทธิพลการใช้ชื่อเรียกจากเขมรผสมผสานกัน หลังจากชาวลาวได้อพยพและบางส่วนถูกต้อนมา จากเวียงจันทร์ ได้นําวัฒนธรรมการละเล่นตามความเชื่อติดตัวมาตั้งรกรากที่หัวเมืองชั้นในและได้กระจาย วัฒนธรรมการละเล่นไปตามพื้นที่ต่าง ๆ และชุมชนปากคลองก็ได้สืบทอดการละเล่นต่อมา การเล่น เข้าผีนิยมเล่นในเทศกาลตรุษสงกรานต์ของทุกภาค แต่จะแพร่หลายมาก ในภาคกลาง ภาคเหนือ เรียกว่า ฟ้อนผี ซึ่งจะมีผีหลายชนิด ภาคใต้ เรียกว่า การเล่นเชื้อ อุปกรณ์การเล่นขึ้นอยู่กับการเลือกเล่นเข้าผีชนิดใด เช่น ผีสุ่ม ก็ใช้สุ่ม ผีกะลา ก็ใช้กะลา มีเครื่องประกอบ การเล่น เช่น ธูป เทียน สําหรับจุดเชิญ และ ผ้าผูกตา เป็นต้น ส่วนที่สําคัญคือ คนรับอาสา ให้ผีเข้า มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หญิงและชาย มัก เล่นในเวลาเย็นหรือย่ําค่ํา ผีที่นิยมเล่น คือ ผีคน ได้แก่ เล่นแม่ศรี ผีเจ๊ก ผีนางกวัก ผีสัตว์ ได้แก่ ผีลิงลม ผีควาย พี่ช้าง ผีหงส์ ผีมดแดง ผีอึ่งอ่าง ผีปลา ฯลฯ ผีที่เป็นสิ่งของเครื่องใช้ ได้แก่ ผีกระด้ง ผีสุ่ม ผีกะลา ผีจวัก จึงทําให้นําไปเผยแพร่ให้กับผู้คนในเมืองต่าง ๆ ชาวลาวที่ถูกส่งไปซึ่งแต่ละเมืองก็จะแตกต่างกันเช่น ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคใต้ และภาคเหนือเป็นต้น โดยแต่ละ ภาคนั้นจะมีการละเล่นที่คล้ายกันแต่ก็ต่างกัน อาจจะต่างกันตรงที่วัสดุหรืออุปกรณ์ ภูมิภาคหรือการกินหรือการ เป็นอยู่ของประชากร ดังนี้ ภาคอีสาน (ผีนางด้ง) ภาคกลาง (เข้าผีแม่ศรีเรือน) ภาคใต้ (แม่ศรี-ผีพุ่งไต้) ภาคเหนือ (การละเล่นผีนางด้ง) (กาญจนา จันทร์สิงห์, 2563)
จากข้อมูลข้างต้นผู้เขียนสรุปได้ว่า เมื่อในอดีตเวียงจันทร์มีความเชื่อเกี่ยวกับบรรพบุรุษเสาหลักเมืองโดยการให้มนุษย์ลงไปฝังในเสาเพื่อเป็นผีบรรพบุรุษคอยปกป้องลูกหลานบ้านเมือง ต่อมาชาวเวียงจันทน์เข้ามาอาศัยในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี ได้มีการย้ายตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะเนื่องจากการก่อกบฏของเจ้าอนุวงศ์ เมื่อมีการต่อสู้สิ้นสุดกรุงเทพเป็นฝ่ายได้รับ ชัยชนะ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ให้ต้อนผู้คนจากเวียงจันทน์มาให้มากที่สุดและตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นครชุมในปัจจุบัน
ภาคอีสาน ผีนางด้ง ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สั่งสมมาช้านานถึงการนําอุดมการแห่งความรักความสามัคคี ความอบอุ่นความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันในกลุ่มชนอย่างผาสุกมาใช้ได้อย่างเหมาะสมแนบเนียนใน ชีวิตประจําวันทําให้สังคมไทยอยู่อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในชีวิตความเป็นอยู่ที่สมฐานะเรียบง่ายและไม่เน้น กฎเกณฑ์ที่ตายตัวยืดหยุ่น รักสงบ มีความสุขในการทํากิจกรรมร่วมกัน การเข้าทรงนางด้งหรือผีนางด้ง เป็นภูมิ ปัญญาดั้งเดิมที่สําคัญของคนไทย มิใช่เรื่องไร้สาระ กิจกรรมทุกกิจกรรมล้วนแฝงไว้ด้วยความลึกซึ้งของสังคม และวัฒนธรรมในเกือบทุกภาคที่มีอาชีพทําไร่ทํานา แต่ไม่มีหมู่บ้านใดดํารงความเป็นไทยและภูมิปัญญาไทยไว้ ได้ (อัจฉราภรณ์ สียา, 2560) ที่หมู่บ้านทุ่งตาพุก ตําบลอ่างทอง อําเภอเมือง จังหวัดกําแพงเพชร ประชาชนใน หมู่บ้านไร้รื้อฟื้นประเพณี การละเล่นพื้นบ้านที่หายสาบสูญไปนับครึ่งศตวรรษกลับคืนมาด้วยความสามัคคีของ คนในหมู่บ้านได้อย่างน่าชื่นชม เครื่องมือประกอบการแสดงการเข้าทรงล้วนเป็นเครื่องมือทําเกษตรอย่างเช่น กระด้ง สําหรับฝัดข้าว ข้าวสากสําหรับนําข้าว ผ้าขาวม้า เพลงที่มีเนื้อร้องน่าสนใจในภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างลึกซึ้งและกลมกลืน น่าฟัง อุปกรณ์ที่สําคัญของการเข้าทรงคือ กะด้งของและสากตําข้าวของแม่ม่าย มีข้อพิเศษคือ ต้องเอาของสองสิ่งมา โดยไม่บอกให้เจ้าของทราบ คือ ขโมยนั่นเอง การเข้าทรงหญิงจะนั่งอยู่ตรงกลาง มีผู้ช่วยนั่งอยู่ตรงหน้า ในระหว่าง สากทั้งสอง นํากระด้งหุ้มด้วยผ้าเขาม้า เมื่อไหว้ครูและเชิญวิญญาณมาเข้าทรงท่ามกลางเสียงเพลงที่เยือกเย็น แต่แฝงด้วยความเชื่อมั่น ในความเชื่อเรื่องทรงเจ้าเข้าผีของพวกเขา เมื่อวิญญาณมาเข้าแล้วนางดังจะสั่นไปทั้ง ร่างกาย ผีที่เข้าทรงจะเรียกกันว่า ผีนางด้ง จะเริ่มลุกขึ้นร่ายรําอย่างสนุกสนาน ไม่ลืมความเหน็ดเหนื่อย หากผีนางด้ง จะนํากระด้งไปกวักใครหรือไปแตะใคร ผู้นั้นต้องออกมารํา ซึ่งเป็นภูมิปัญญาแห่งการมีส่วนร่วม ชาวบ้านจะ ร้องเพลงตีกลองให้จังหวะอย่างสนุกสนานในที่สุดก็จะรํากันทั้งหมู่บ้าน ซึ่งแสดงถึงความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน ความสามัคคีในหมู่คณะเมื่อรําไปได้สักพัก ชาวบ้านที่รักสนุกอยากจะหยอกผู้เข้าทรงนางดังก็จะลักสากตําข้าว ไปซ่อน นางก็จะโมโหและไม่นํากระด้งไปฟาดผู้นั้น ผู้นั้นจะต้องนํามาคืนหรือหาสากพบก็จะนําความสนุกสนาน ครื้นเครงมาสู่หมู่บ้านนั้นอย่างกลมกลืนและแนบเนียน เมื่อสนุกสนานกันได้ครู่นึงก็จะมีการทํานายทักเรื่องราว ต่าง ๆ ในหมู่บ้านหรือเรื่องทั่วไป เพื่อช่วยสร้างความสามัคคีและความอบอุ่นใจ โดยมีชาวบ้านที่ร่วมกิจกรรม การเข้าทรงมาถามเรื่องที่ตนเองสงสัย หรือถามเรื่องที่ทําความครึกครื้นในหมู่บ้าน อันเกิดความเข้าใจและเกิด กําลังใจให้ชาวบ้านในการประกอบอาชีพและดํารงชีวิต เมื่อเห็นว่านางด้งสนุกสนานช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ไม่น่าเบื่อก็จะเชิญนางด้งออก ผู้เข้าทรงจะไม่ทราบเรื่องราวที่ตนเองเข้าทรงเลย การเข้าทรงนางด้งจึงเป็นภูมิปัญญาใน ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลาง ที่ประกอบอาชีพทําไร่ทํานา ที่นิยมเล่นในวันสงกรานต์นั่งเอง (กาญจนา จันทร์สิงห์,2561)
จากข้อมูลข้างต้นผู้เขียนสรุปได้ว่า การเข้าทรงแม่ศรีของภาคอีสานเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สั่งสมมาช้านาน ฟื้นประเพณีการเล่นที่หายสาบสูญไปนับครึ่งศตวรรษกลับคืนมาด้วยความสามัคคีของคนในหมู่บ้าน ได้อย่างน่าชื่นชม
ภาคกลาง เข้าผีแม่ศรีเรือนของชาวจังหวัดปทุมธานี เข้าผีแม่ศรีหรือเข้าผีแม่ศรีเรือนเป็นการละเล่น พื้นบ้านของชาวจังหวัดปทุมธานีมานานแล้ว ปัจจุบันประเพณีการละเล่นพื้นบ้านของชาวปทุมธานีแต่โบราณ มีหลายอย่างด้วยกัน เช่น การเข้าผีแม่ศรี เข้าผีอึ่งอ่าง เข้าผีสาก เข้าผีลิงลม เข้าผีสุ่ม เล่นระบํา เล่นช่วงรํา การเล่นดังกล่าวนี้ส่วนมากจะเล่นในเวลาตอนเย็นหรือกลางคืน ในเทศกาลนักขัตฤกษ์ ตรุษสงกรานต์ เพราะใน ระหว่างเดือนเมษายน ชาวนาจะหมดจากฤดูกาลทํานาแล้ว เป็นเวลาพักผ่อนหาความสนุกสนาน ไม่ว่าเด็ก หนุ่มสาว เฒ่าแก่ จะมารวมกันเป็นการสามัคคีและสนุกด้วย เพราะแต่ก่อนอาชีพอื่น ๆ ไม่ค่อยมี นอกจากทําอาชีพทํานาอย่างเดียว การเล่นเข้าผีแม่ศรีไม่กําหนดจํานวนผู้เล่น ผู้หญิงผู้ชายเล่นรวมกันได้ แต่ไม่ควรเล่นน้อยกว่า 5 คน ถ้ายิ่งมากคนยิ่งสนุก ก่อนเล่นให้ผู้หญิงนั่งตรงกลางแล้วเอาผ้าผูกตาไว้ วิธีผูกให้ปิดหูด้วย อย่าให้มองเห็น ส่วนหูก็ให้ได้ยินแต่น้อย นั่งประนมมือมีธูปสามดอก นอกนั้นยืนล้อมวงแล้วเดินวนไปทางซ้ายรอบตัวผู้นั่งในวงปรบมือพร้อมกันแล้วร้องเพลงแม่ศรี การปรบมือต้องให้เข้าจังหวะกับทํานองด้วย เดินวนร้องเพลงจนกว่า ผีจะเข้าแม่ศรี ถ้าผีเข้าแม่ศรีมือจะสั่นแล้วล้มลง ตอนนี้เราจะถามแม่ศรีว่า มาจากไหน มาทําไม หรือถามอะไรก็ได้ แล้วก็เชิญแม่ศรีเล่นด้วย โดยจะให้รําหรือร้องเพลงอะไรก็ได้ เป็นการสนุกครึกครื้น ถ้าจะเลิกเล่นจะให้ผีแม่ศรีออก ก็จะแก้ผ้าผูกตาออกแล้วเป่าหูแม่ศรีก็จะล้มลง ผีก็ออกทันที (Author, 2554) การเล่นแม่นางด้งนั้นมีมาแต่สมัยโบราณ คนรุ่นเก่าได้เล่าต่อ ๆ กันว่า นิยมเล่นในเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งถือกันว่าเป็นวันปีใหม่ของไทย โดยจะเล่นกันในตอนกลางคืน ที่วัดหรือที่บ้านก็ได้ การเล่นแม่นางดังนี้จะนิยมเล่นกันทั่วไปในจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยเฉพาะ อําเภอหล่มเก่า อําเภอหล่มสัก อําเภอเมืองเพชรบูรณ์ ตลอดทั้งอําเภอใกล้เคียง ลักษณะเครื่องแต่งกาย ในการเล่นแม่นางด้ง ผู้จับกระด้งส่วนมากจะเป็นผู้สูงอายุ จะแต่งกายตามแบบชาวบ้าน ไม่มีแบบแผนที่แน่นอน บางครั้งก็แต่งกายยุคปัจจุบัน หรือในบางโอกาสจะสวมเสื้อแขนสามส่วน นุ่งผ้าถุงยาว หรือไม่ก็นุ่งโจงกระเบน วิธีการเล่น เริ่มทําการแสดง จะมีพิธียกครูเสียก่อน มีผู้จับกระด้ง 2 คน โดยจับกระด้งคว่ําลง และจะมีผู้กล่าว นําเชิญแม่นางด้งเข้าสิงสู่กระด้ง เมื่อเริ่มเข้ากระด้งที่อยู่ในมือของผู้จับกระด้งก็จะสั่นแรงขึ้นเรื่อย ๆ สักครู่ เมื่อกระด้งหยุด ถ้าต้องการถามเรื่องอะไร หรือทํานายทายทักอะไร ก็จะถามแม่นางด้ง เช่น ปีนี้ปลูกข้าวจะ ได้ผลดีหรือไม่เป็นต้น หรือไม่ชายหนุ่มก็ถามเกี่ยวกับเรื่องของความรัก เช่น เขารักใคร หรือใครแอบชอบเขา กระด้งก็จะสั้นและไปหาผู้หญิงคนนั้น (เศกสรร ครูเศก แสงจินดาวงศ์เมือง, 2550)
จากข้อมูลข้างต้นผู้เขียนสรุปได้ว่า การเข้าทรงแม่ศรีของภาคกลางมักจะเล่นกันในวันสงกรานต์ที่วัดหรือที่บ้านในเวลากลางคืนจะมาร้องเล่นเต้นร่วมกันเป็นการสามัคคีสนุกสนานปรบมือเข้าจังหวะกับทํานองพร้อมกันร้องเพลงแม่ศรีอย่างครื้นเครงหรือทํานายทายทักอะไรเช่น ปีนี้ปลูกข้าวจะได้ผลดีหรือไม่ เป็นต้น
ภาคใต้ “แม่ศรี-ผีพุ่งไต้” เป็นประเพณีเก่าแก่ของชาวหัวหินที่หาดูได้ช่วงสงกรานต์ “ผีพุ่งไต้” เป็น การละเล่นพื้นบ้านที่เก่าแก่มานานตั้งแต่เด็กวัยรุ่นจําความได้ จากความเชื่อในการขจัดสิ่งชั่วร้ายเพื่อให้ปีใหม่ไทย ที่จะเข้ามามีแต่สิ่งดีสิ่งที่เป็นมงคลให้มีความสุขปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง เมื่อตรุษสงกรานต์มาถึง ช่วงเช้า ชาวบ้านจะหอบหิ้วลูกหลานเพื่อนําอาหาร ขนม ไปทําบุญที่วัด เวลาบ่ายจะทําการรดน้ําดําหัวคนเฒ่าคนแก่ พลบค่ําชาวบ้านจะออกมารวมตัวกันตามชายหาดหัวหินรวมทั้งการละเล่น “ผีพุ่งไต้” มีการตั้งขบวนเป็นแถวยาว 30 - 40 คน ผู้เล่นจะมีทั้งชาย-หญิงแต่งกายแบบชาวบ้านพื้นเมือง คนเป็นหัวหน้าอยู่หัวแถวถือได้ที่จุดสว่างไสวคนที่สอง คนที่สาม ที่สี่...จนกระทั่งคนสุดท้ายปลายแถวถือได้หนึ่งอัน ทุกคนจะจับมือกันแน่นแบบมัดข้าวต้ม เพื่อให้แถวไม่ขาดง่าย หัวหน้าผู้ถือได้เป็นผู้ร้องเพลงนํา ซึ่งเป็นเพลงพื้นบ้านมีหลายท่อนหลายตอน เมื่อหัวหน้า ร้องนํา ลูกแถวก็จะร้องรับตาม หัวหน้าจะถือได้ออกวิ่งนํา ลูกแถวก็จะวิ่งตามกันเป็นพรวนเป็นแถวยาว บางครั้ง ในช่วงกลางแถว ลูกแถวสองคนจะชูขึ้นให้สูง เพื่อให้หัวหน้าลอดแล้วลูกแถวคนอื่น ๆ ก็จะลอดตามกันไปจน หมดแถว ส่วนประเพณีเล่น “แม่ศรี” นางอรุณ คงดี อดีตครูโรงเรียนเทศบาลบ้านหัวหิน ประธานชมรมคนรัก ในหลวง ประธานชมรมวัยสดใสให้ผู้สูงวัย อําเภอหัวหิน เปิดเผยว่าประเพณีดังกล่าวมีมานานกว่า 100 ปีแล้ว สมัยก่อนคนหัวหินส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพชาวประมงจะรวมตัวกันง่าย แต่สมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงไป โอกาสที่จะพบกันน้อยลงจึงถือเอาวันสงกรานต์นี้เป็นวันรวมตัวกัน เพื่อที่จะได้ร่วมรําลึกถึงประเพณีการละเล่น พื้นบ้านเก่าแก่ของชาวหัวหิน เช่น “แม่ศรี” และ ผีอึ่งอ่าง รําโทน พร้อมร่วมรดน้ําดําหัวขอพรจากผู้ใหญ่ในชุมชน ถือเป็นพิธีกรรมให้แม่ศรีหรือผีดั้งเดิม เข้ามาสิงร่างบุคคลเพื่อร้องเล่นเต้นรําตามเพลงด้วยกัน แต่สมัยนี้จะเป็น การจําลองผีเข้า เนื่องด้วยอายุแต่ละคนก็มากขึ้นแต่ความสนุกสนานก็ยังเหมือนเดิม เพื่อที่จะอนุรักษ์สืบทอด ประเพณีเก่าๆของชาวหัวหินที่หาดูได้ยากไว้ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้ดู และเกิดสํานึกรักประเพณีบ้านเกิดของ ตนเอง และในช่วงค่ําวันที่ 12 เมษายนนี้ นักท่องเที่ยวจะได้ชมการละเล่นเก่าแก่ ผีพุ่งไต้ และ แม่ศรี ประเพณี เก่าแก่ ของชาวหัวหินในช่วงตรุษสงกรานต์ เพื่อสร้างความสามัคคีและสืบสานวัฒนธรรมประเพณี ถ่ายทอด จากบรรพบุรุษสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักและรักษาไว้ให้คงอยู่คู่เมืองหัวหินถิ่นมนต์ขลังตลอดไป (บ้านเมือง, 2562)
จากข้อมูลข้างต้นผู้เขียนสรุปได้ว่า การเข้าทรงแม่ศรีของภาคใต้นิยมกันในวันตรุษสงกรานต์ ทําบุญ ตักบาตร เข้าวัดฟังธรรม ทําบุญที่วัด เวลาบ่ายจะทําการรดน้ําดําหัวคนเฒ่าคนแก่ พลบค่ําชาวบ้านจะออกมา รวมตัวกันตามชายหาด โดยมีความเชื่อในการขจัดสิ่งชั่วร้ายเพื่อให้ปีใหม่ไทยที่จะเข้ามามีแต่สิ่งดีสิ่งที่เป็นมงคล ให้มีความสุขปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง
ภาคเหนือ การละเล่นผีนางด้ง ชาวบ้านชมภู อ.เนินมะปราง ช่วงค่ําของวันที่ 18 เม.ย. ผู้สื่อข่าว รายงานว่าที่บ้านชมพู ม.3 ต.ชมภู อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ชาวบ้านกว่า 100 คน ได้ออกมาร่วมการละเล่น พื้นบ้านที่เรียกว่า “นางด้ง” การละเล่นแต่ครั้งสมัยโบราณ ซึ่งผู้สืบทอดมาตั้งแต่ครั้งสมัย ปู่-ย่า ตา-ยาย จนกลายเป็นประเพณีที่ต้องจัดขึ้นเป็นประจําทุกปี เพื่อสืบทอดไม่ให้เลือนหายไป จากการสอบถาม คุณลุงแวะ สนใจ อายุ 68 ปี ผู้สูงอายุคนเก่าคนแก่ของหมู่บ้านเล่าให้ฟังว่า การละเล่นนางด้ง เป็นการละเล่นที่สืบทอดกันมา หลายชั่วอายุคน เล่นกันตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ นางด้งจะเล่นกันในเวลากลางคืนยกเว้นวันพระ และจะเล่นกัน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งวันสงกรานต์ของชาวบ้านชมภูจะเล่นกันทั้งหมด 7 วัน นางดังจะเล่นใน 3 วัน สุดท้ายของวันสงกรานต์ คือวันที่ 16-18 เมษายน ซึ่งในวันส่งท้ายวันสงกรานต์ก็จะมีพิธีรดน้ําดําหัวคนเฒ่า คนแก่และสรงน้ําพระจะทําสืบต่อกันมาทุกปี การละเล่นนางด้งจะเล่นในเวลากลางคืนที่ลานกลางบ้านซึ่งเป็น ศูนย์กลางหรือบริเวณที่มีพื้นที่กว้างขวางเหมาะที่จะเล่นด้วยคนจํานวนมาก ๆ การละเล่นนางด้ง จะเล่นสืบต่อ กันมาจนถึงปัจจุบันและจะเล่นกันทุกปี เป็นการเล่นที่ทุกเพศทุกวัยชอบได้รับความสนุกสนานถึงจะเจ็บตัวกัน เป็นแถว ๆ แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไรกัน นางด้งจะมีคนเข้าทรงครั้งละ 2 คน เป็นผู้หญิง เมื่อเข้าทรงได้แล้วจะถือ กระด้งเป็นอาวุธคอยเฝ้าสาก จากการสอบถามคนเข้าทรงหลังจากออกจากทรงแล้ว คนเข้าทรงเล่าว่าจะชาที่ ช่วงแขนเหมือนมีอะไรบังคับซึ้งตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกัน และจะรู้สึกหวงสากมากที่สุด เพราะสากที่วางอยู่คู่กัน จะเห็นเป็นทองคํา เมื่อมีใครเข้ามาจะเอาสากก็จะไล่ตี ส่วนคนที่ไม่ได้เข้าทรงก็คือคนดูไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง จะเข้าไปแย่งสาก เมื่อมีคนเข้ามาแย่งสากก็จะถูกนางด้งไล่ตี บางคนหลบไม่ดีถูกตีหัวแตกก็มี บางคนก็แขน ขา หน้าถลอกเป็นแผลก็มี แต่ก็ไม่มีใครถือโทษโกรธอะไรเพราะเป็นการละเล่นมีแต่เสียงหัวเราะ เสียงฮา อยากมี ความสุขสนุกสนาน เวลานางด้งจะออกจากการทรงนั้น ก็จะโยนหรือวางกระด้งที่ถือหงายขึ้น ถ้ากระด้งคว่ําจะต้องหงายใหม่เพราะไม่อย่างนั้น ผีสาง เทวดา ไม่ยอมออก พอนางด้งออกจากร่างทรงก็จะเริ่มทําพิธีบวงสรวงอัญเชิญ เข้าทรงอีก ก็จะมีกลุ่มคนคอยเคาะไม้ไผ่เป็นจังหวะและก็จะร้องเพลงของนางด้งไปด้วย อีกกลุ่มก็จะไปยืนมุงดู การทรง ล้อมวงและก็ร้องเพลงนางด้งไปด้วย จะมีคนเฒ่าผู้สูงอายุเป็นคนคอยเซ่นบวงสรวงเจ้าลงมาประทับ เข้าทรงนางด้ง คืนหนึ่งก็จะเล่นกันประมาณ 2 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับคนเข้าทรงว่ามีเยอะหรือน้อย และขึ้นอยู่กับคนเล่น และคนดูว่าเล่นกันสุภาพหรือไม่ ถ้าเล่นกันไม่ดีไม่สุภาพก็จะเลิกเล่นกันทันที คุณลุงแวะฯ เล่าให้ฟังต่ออีกว่า ชาวบ้านชมภูส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม วิถีชีวิตต้องพึ่งพาธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ หากปีใดฝนฟ้าไม่ตก ต้องตามฤดูกาลเกษตรกรก็จะได้รับความเดือดร้อนลําบาก จึงจําเป็นต้องพึ่งพาอ้อนวอนร้องขอต่อเทพยดาสิ่งที่ ตนเคารพ เชื่อถือ เรียกว่าทําพิธีขอฝน หากปีใดฝนแล้งชาวบ้านจะมาปรึกษากันว่าควรประกอบพิธีขอฝนด้วย วิธีใด เช่น การแห่นางแมว การเล่นนางด้ง การเล่นนางของ การเล่นนางควาย หรือการเล่นนางสุ่ม เป็นต้น ขั้นตอนและวิธีการแห่นางด้งนั้นมีรูปแบบลักษณะเป็นการเสี่ยงทายด้วย “ผีนางด้ง” ที่จะมาเข้าทรงกับผู้หญิง ซึ่งเป็นร่างทรง โดยมีอุปกรณ์การเล่น คือ กระด้งฝัดข้าว 2 ใบ สากไม้ตําข้าว 2 อัน และอุปกรณ์ในการเชิญ ผีนางด้ง ได้แก่ หมากพลู ดอกไม้ ธูปเทียน น้ํา แป้งหอม ข้าวสุก พริก เกลือ ส่วนวิธีการเล่นเริ่มด้วยการนําสาก 2 อัน วางกลับกันไว้ตรงกลางวง สมมุติให้เป็นเจ้าบ่าวของนางด้ง มีคนทรง 2 คน ซึ่งเป็นคนพิเศษที่เคยทําพิธีมาแล้ว หรือมีการถ่ายทอดการเป็นคนทรงเจ้า จากนั้นก็ยืนจับกระด้งไว้คนละใบ มีชาวบ้านหญิงชายยืนล้อมวงคนทรง แล้วมีคนทรงซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ซึ่งเคยทําพิธีนี้มาก่อนแล้ว เป็นผู้มาทําพิธีเชิญและนําการ ร้องเพลงเชิญ (นําเชิด) ส่วนชาวบ้านที่ยืนล้อมวงจะช่วยกันร้อง เพื่อเชิญให้ผีนางด้งมาเข้าสิ่งที่กระด้ง ซึ่งคนทรง จะจับเอาไว้ เมื่อผีนางด้งมาเข้าสิงที่ร่างคนทรงก็จะจับกระด้งสั่นและพากระด้งร่อนไปเรื่อย ๆ ดังกล่าว (พิษณุโลกฮอตนิวส์, 2559)
จากข้อมูลข้างต้นผู้เขียนสรุปได้ว่า การเข้าทรงแม่ศรีของภาคเหนือเป็นการละเล่นสมัยโบราณ ซึ่งสืบทอด มาตั้งแต่ครั้งสมัยปู่-ย่า ตา-ยาย จนกลายเป็นประเพณีที่ต้องจัดขึ้นเป็นประจําทุกปี เล่นกันในเวลากลางคืน ยกเว้นวันพระ และจะเล่นกันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ซึ่งในวันส่งท้ายวันสงกรานต์ก็จะมีพิธีรดน้ําดําหัวคนเฒ่า คนแก่และสรงน้ําพระ การละเล่นนางด้งจะเหมาะที่จะเล่นด้วยคนจํานวนมาก ๆ
การเข้าทรงแม่ศรีปากคลอง กําแพงเพชร วันที่ 24 ตุลาคม 2565 การเข้าทรงแม่ศรีที่บ้านปากคลอง แตกต่างจากการเข้าทรงแม่ศรี หรือการรําแม่ศรีที่อื่น ๆ ครูมาลัย ชูพินิจ เขียนไว้ในนวนิยายทุ่งมหาราชและ มีเรื่องเล่าในบ้านปากคลองว่า สาวงามที่ชาวบ้านคัดเลือก ให้เป็นแม่ศรีในวันสงกรานต์จะนั่งเท้าทั้งสองเหยียบ อยู่บนกะลาตาเดียวที่หงายไว้ มือทั้งคู่แตะอยู่ที่พื้นดิน เสียงเพลง ร้องจากผู้เล่นร่วมรอบวงว่า แม่ศรีเอย แม่ศรีสาวหงส์เชิญเจ้ามาลงแม่นางสร้อยทอง เชิญพี่เชิญน้อง เชิญแม่ทองศรีเอย วนไป หลาย ๆ รอบ เสียงเย็นจับใจ เมื่อกะลาหมุนแสดงว่าแม่ศรีเข้าแล้ว เมื่อกะลาหยุดหมุนแม่ศรีจะลุกขึ้นรําโดย ไม่รู้ตัว ไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตามเสียงเพลงที่แว่วเข้าไปในโสตประสาท เพลงร้องต่อไปว่า แม่ศรีเอย แม่ศรีสาวสะ ยกมือไหว้พระว่าจะมีคนชม คิ้วเจ้าก็ต่อคอเจ้าก็กลม ชักผ้าปิดนมชมแม่ศรีเอย (แม่ศรีรําแบบไม่รู้ตัว จนผ้าสไบหลุดออกมาเห็นนม แม่ศรีได้ยินเสียงแว่วมา จึงชักผ้ามาปิดนมเสีย) แม่ศรีเอย แม่ศรีเอวกลม ห่อผ้าสีตอง (ทอง) เจ้าลอยละล่อง เข้าในห้องใครเอย เจ้าลอยละล่องเข้าในห้องไหนเอย เจ้าพวงมาลัยควรหรือจะไปจากห้อง เข้าลอยละล่อง เข้าในห้องไหนเอย แม่ศรีจะรําจนเหนื่อย และสนุกสนานทั้งวงแม่ศรี เพื่อนสนิทเห็นว่านานเกินไป จะเข้าไปจับไหล่ แล้วร้องว่ากระทู้รู้ข้างหู แม่ศรีจะออก คนเข้าทรงจะไม่ทราบเลยว่า ตัวเองทําอะไรลงไปบ้าง การเข้าทรงแม่ศรีเป็นภูมิปัญญาที่สําคัญของชาวปากคลอง ในการคัดเลือกสาวงามและการเลือกคู่ครองในวัน สงกรานต์ ปัจจุบันยังมีการสืบทอดอยู่บ้าง แต่เป็นการละเล่นเสียแล้ว มิใช่เป็นการเข้าทรงเหมือนสมัยก่อน นับว่าบ้านปากคลองยังสามารถรักษาภูมิปัญญาการรําแม่ศรีไว้ได้ ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป (กาญจนา จันทร์สิงห์, 2563)
จากข้อมูลข้างต้นผู้เขียนสรุปได้ว่า การเข้าทรงแม่ศรีของชาวปากคลองว่า คัดเลือกสาวงามที่ชาวบ้าน ให้เป็นแม่ศรีในวันสงกรานต์จะนั่งเท้าทั้งสองเหยียบอยู่บนกะลาตาเดียวที่หงายไว้มือทั้งคู่แตะอยู่ที่พื้นดิน
เสียงเพลงร้องจากผู้เล่นร่วมรอบวงและร้องเชิญแม่ศรีลงมา แม่ศรีจะรําจนเหนื่อย และสนุกสนาน
ภาพยนตร์ชีวิตต่อสู้ยิ่งใหญ่ประจําปี 2513 จากวรรณกรรมอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของ “เรียมเอง” คณะอัชชาวดี โดย จีราภา ปัญจศีล เสนอเป็นละครวิทยุฟังเพลงในระบบ 35 ม.ม. จากการขับร้องของ สมบัติ เมทะนี, ชรินทร์ นันทนาคร, สวลี ผกาพันธุ์, ฉลอง สิมะเสถียร, รอง เค้ามูลคดี, ประสานศรี สิงหานนท์
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากบทประพันธ์ของเรียมเอง (มาลัย ชูพินิจ) เคยดัดแปลงเป็นละครวิทยุของ คณะอัชชาวดี โดย จีราภา ปัญจศีล
เพลงประกอบในภาพยนตร์เรื่องนี้ประพันธ์โดย ชาลี อินทรวิจิตร-อ.กวี สัตโกวิท และขับร้องโดย สมบัติ เมทะนี, ชรินทร์ นันทนาคร, สวลี ผกาพันธุ์, ฉลอง สิมะเสถียร, รอง เค้ามูลคดี, ประสานศรี สิงหานนท์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เพิ่มสีสันด้วยการใส่ฉากเพลง 35 มม. ประกอบเรื่องเอาไว้ ซึ่งเป็นธรรมเนียมนิยมของหนังไทย หลายเรื่องในยุคก่อนที่จะกลายเป็นยุคฟิล์ม 35 มม. อย่างเต็มตัว โดยเวลาฉายในโรงภาพยนตร์ ตัวหนังซึ่งเป็นฟิล์ม 16 มม. จะฉายด้วยเครื่องฉาย 16 มม. โดยมีนักพากย์คอยพากย์เสียงสดๆ แต่เมื่อถึงฉากเพลงซึ่งมี เสียงเพลงในฟิล์ม จะสลับไปฉายด้วยเครื่องฉาย 35 มม. บางครั้งหนัง 16 มม. ที่มีฉากเพลง 35 มม. แบบนี้มักเรียกล้อเล่นกันในวงการว่า หนัง 51 มม. (16+35) ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก ของ มาลาริน บุนนาค เป็นบุตรของ ธิดา บุนนาค (เบีย, 2562)
จากการสัมภาษณ์นางนิชรา พรมประไพ (การสัมภาษณ์, 24 ตุลาคม 2565) พบว่า นางนิชรา พรมประไพ เป็นวิทยากรท้องถิ่นสอนนักเรียน มีพื้นเพเป็นคนนครชุมตั้งแต่เกิดได้เห็นงานวิจัยการรําแม่ศรี ทําให้เกิดความ สนใจและไม่อยากให้การรําแม่ศรีของชาวนครชุมหายไป นางนิชรา พรมประไพ จึงนําการรําแม่ศรีมาสอนเด็ก ที่โรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม และยังพาเด็ก ๆ ไปร่วมโชว์ในงานต่าง ๆ ของจังหวัดหรือชุมชนเพื่อสร้างรายได้ ให้กับเด็ก ๆ ปัจจุบันที่การรําแม่ศรีไม่เป็นที่นิยม นางนิชรา พรประไพ จึงนําการรําแม่ศรีมาประยุกต์เป็นการรํา เปิดการแสดงที่มีการแสดงต่าง ๆ รวมอยู่ อาทิ ระบําคล้องช้าง ลิเกป่า รําโทน เพื่อไม่ให้ทุกคนลืมศิลปวัฒนธรรม ที่สวยงามอ่อนช้อย และคณะศักดิ์ทองเสียงทิพย์ชมรมของมหาลัยราชภัฏกําแพงเพชรยังมีการอนุรักษ์ โดยนําการแสดงมาโชว์ในงานมหรสพและงานประจําปีที่มุ่งเน้นทางวัฒนธรรม
ขั้นตอน/ วิธี /กระบวนการ
การรําแม่ศรีฉบับปัจจุบัน เป็นการเข้าทรงแม่ศรีที่บ้านปากคลอง แตกต่างจากการเข้าทรงแม่ศรีหรือ การรําแม่ศรีที่อื่น ๆ ครูมาลัยชู พินิจ เขียนไว้ในนวนิยายทุ่งมหาราชและมีเรื่องเล่าในบ้านปากคลองว่า สาวงาม ที่ชาวบ้านคัดเลือกให้เป็นแม่ศรีในวันสงกรานต์ จะนั่งเท้าทั้งสองเหยียบอยู่บนกะลาตาเดียวที่หงายไว้ มือทั้งคู่ แตะอยู่ที่พื้นดิน เสียงเพลงร้องจากรอบวงว่า แม่ศรีเอย แม่ศรีสาวหงส์เชิญเจ้ามาลงแม่นางสร้อยทอง เชิญพี่เชิญน้อง เชิญแม่ทองศรีเอย วนไปหลายหลายรอบ เสียงเย็นจับใจ เมื่อกะลาหมุนแสดงว่าแม่ศรีเข้าแล้ว เมื่อกะลาหยุดหมุน แม่ศรีจะลุกขึ้นรําโดยไม่รู้ตัว ไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตามเสียงเพลง จะรําจนเหนื่อยและสนุกสนานทั้งวง เมื่อเพื่อนสนิทเห็นว่านานเกินไปจะเข้าไปจับไหล่ แล้วร้องว่ากระทู้รู้ข้างหู แม่ศรีจะออก คนเข้าทรงจะไม่ทราบ เลยว่า ตัวเองทําอะไรลงบ้าง การเข้าทรงแม่ศรี เป็นภูมิปัญญาที่สําคัญของชาวปากคลอง ในการคัดเลือกสาวงาม และการเลือกคู่ครองในวันสงกรานต์ ปัจจุบันยังมีการสืบทอดอยู่บ้างแต่เป็นการเล่าเรื่องเสียแล้วมิใช่เป็นการ เข้าทรงเหมือนสมัยก่อน (กาญจนา จันทร์สิงห์, 2563)
จากข้อมูลข้างต้นผู้เขียนสรุปได้ว่า การเข้าทรงแม่ศรีที่บ้านปากคลองนั้นต่างจากการเข้าเข้าทรงแม่ศรีที่ อื่น ๆ ที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยแต่จะเหมือนกันตรงที่ใช้สาวงามในหมู่บ้านมารําหรือหญิงสาวที่สวยที่สุดใน หมู่บ้าน
วิธีเล่น เมื่อจุดธูปเชิญผีแล้ว ก็ผูกผ้าปิดตาผู้อาสาเชิญผีเข้า ต่อมาจึงร้องเพลงเชิญผี เชิญผีชนิดใด ก็ร้องเพลงของผีชนิดนั้น ๆ เนื้อความของเพลงที่ร้อง จะร้องกันมาแต่โบราณ ร้องซ้ํา ๆ กัน หลาย ๆ ครั้ง จนผู้อาสา ให้ผีเข้าเริ่มโงนเงนแสดงว่า ผีมาแล้ว ผู้ร่วมเล่นจะร้องเพลงเชิญชวนให้ร่ายรํากระโดดโลดเต้น และวิ่งไปมา หรือไล่ จับกันไปตามอิริยาบถของลักษณะผี เมื่อเล่นเป็นที่พอใจแล้วประสงค์จะให้ผีออก ก็ร้องตะโกนที่หู หรือ ผลักให้ล้มกระโดดข้ามตัวผู้อาสาเชิญไปมา 3 เที่ยว ผู้อาสาเชิญผีเข้าก็จะรู้สึกตัวเป็นปกติ (สายไหม จบกลศึก, ม.ป.ป.)
จากข้อมูลข้างต้นผู้เขียนสรุปได้ว่า วิธีเล่นจุดธูปเชิญผีแล้ว ก็ผูกผ้าปิดตาผู้อาสาเชิญผีเข้าแล้วร้องเพลง เชิญผีวนซ้ํา ๆ จนผีเข้าร่างแล้วก็ร้องรําจนเหนื่อย จึงร้องตะโกนให้ผีออกจากร่าง
ท่าการแสดงจําเพาะ
ในการประดิษฐ์ท่ารํา ผู้คิดประดิษฐ์ท่ารําต้องมีความสามารถในการตีความหมายของบทร้อง บทประพันธ์ ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถประดิษฐ์ท่ารําได้สัมพันธ์กับบทร้อง ขั้นตอนที่ใช้ประดิษฐ์เริ่มจาก
1. ศึกษาบทที่แสดง โดยการอ่านบทละคร พิจารณาเรื่องราวและบทบาทของตัวละคร ความรู้สึก อารมณ์ แล้วนํามาประดิษฐ์เป็นท่ารํา
2. การเลือกใช้ท่ารําสอดคล้องกับความหมาย เป็นการเลือกใช้ท่ารําในแม่บทมาประดิษฐ์เป็นท่ารํา เพื่อสื่อความหมายตามบทร้องให้เป็นแบบแผนทางนาฏศิลป์ ในการเลือกใช้ท่ารํา มีรูปแบบดังนี้
2.1 ท่ารําตามแม่บท เป็นการนําท่ารําในแม่บทมาประดิษฐ์ท่ารําเพื่อสื่อความหมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์ ท่าเฉิดฉิน สื่อความหมายถึงความงามเช่น ท่าพนมมือ บ่งบอกถึงการเข้าทรงของแม่ศรี ท่าจีบคว่ํา จีบหงาย บ่งบอกถึงการแสดงทางร่างกายและความสวยงามท่ารําแล้วหมุนเป็นวงกลม บ่งบอกถึงการลอยละล่อง ตามเนื้อเพลงข้างต้น ท่าชี้นิ้วบ่งบอกทิศทาง ผู้สืบค้นคือ แม่เหี้ยมกิตติขจร แสดงโดยแม่บ้านตําบลนครชุม อําเภอเมือง จังหวัดกําแพงเพชร (กาญจนา จันทร์สิงห์, 2561)
จากข้อมูลข้างต้นผู้เขียนสรุปได้ว่า การเลือกใช้ท่ารําสอดคล้องกับความหมายเป็นการเลือกใช้ท่ารํา ในแม่บทมาประดิษฐ์เป็นท่ารํา เพื่อสื่อความหมายตามบทร้องให้เป็นแบบแผนทางนาฏศิลป์
เพลงที่ใช้ในการแสดง
ในสมัยนั้น มีวงดนตรี 3 ประเภท เช่นเดียวกับสมัยอยุธยา คือ วงปี่พาทย์ วงมโหรี และวงเครื่องสาย แต่มีเครื่องดนตรีของชาติต่าง ๆ เข้ามาในประเทศไทยหลายชนิด ดังปรากฏในหมายกําหนดการของพระมหากษัตริย์ ในสมัยนั้นว่า “ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิณพาทย์ไทย พิณพาทย์รามัญ มโหรีไทย ฝรั่ง มโหรีญวน เขมร ผลัดเปลี่ยนกันสมโภช 2 เดือนกับ 12 วัน” ในงานสมโภชพระแก้วมรกตเป็นต้น
เนื้อร้อง/ทํานอง
แม่ศรีเอย แม่ศรีสาวหงส์ เชิญเจ้ามาลง แม่นางสร้อยทอง ชวนพี่เชิญน้อง ชวนแม่ทองศรีเอย (หญิงสาวนั่งรายล้อมร้องเพลงปรบมือเป็นจังหวะ แม่ศรีนั่งพนมมือถือกรวยดอกไม้ธูปเทียน เริ่มสั่นเมื่อวิญญาณเข้าทรง) แม่ศรีเอย แม่ศรีสาวสะ ยกมือไหว้พระ เอ่ยว่าจะมีคนชม ขนคิ้วเจ้าก็ต่อ คอเจ้าก็กลม ซักผ้าปิดนม ชมแม่ศรีเอย (แม่ศรีวางกรวยลงแล้วลุกขึ้นรําตามเนื้อเพลง ยกมือไหว้ ชี้ไปที่คิ้ว คอ จับสไบปิดนม) แม่ศรีเอย แม่ศรีเอวกลม ห่มผ้าสีทอง เจ้าลอยละล่องจะเข้าในห้องไหนเอย (แม่ศรีใช้มือทั้งสองแตะที่เอว แล้วหมุนตัวตามเนื้อเพลง)
เจ้าพวงมาลัยควรหรือจะไปจากห้อง เจ้าลอยละล่องจะเข้าในห้องไหนเอย เจ้าลอยละล่องจะเข้าในห้องใครเอย (ร้องซ้ําตั้งแต่ท่อนแม่ศรีเอยแม่ศรีสาวสะ) (แม่ศรีทําท่าถือพวงมาลัยแล้วหมุนตัวตามเนื้อเพลง) (กาญจนา จันทร์สิงห์, 2563)
จากข้อมูลข้างต้นผู้เขียนสรุปได้ว่า เนื่องจากในสมัยนี้เป็นช่วงระยะเวลาอันสั้นเพียง 15 ปี และเป็นสมัยแห่งการก่อร่างสร้างเมืองและการป้องกันประเทศเสียโดยมากวงดนตรีไทยในสมัยนี้จึงไม่ปรากฏหลักฐาน ไว้ว่า ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงขึ้น สันนิษฐานว่า ยังคงเป็นลักษณะและรูปแบบของ ดนตรีไทย ในสมัย กรุงศรีอยุธยานั่นเอง คนในสมัยนั้นจึงเลือกเครื่องดนตรีที่ เล่นง่ายและเข้าถึงง่ายอย่าง ฉิ่ง ฉาบและกลองโทน
การแต่งกายผู้แสดง/เครื่องประดับแต่ละยุค
แม่ศรีนุ่งโจงกระเบน ห่มสไบ ผู้ร้อง แต่งกายพื้นบ้าน เช่น นุ่งโจงกระเบนหรือผ้าซิ่น ใส่เสื้อสวยงามแบบไทย แม่ศรีจะเลือกจากหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยงาม 1 คน (เฉพาะผู้หญิงที่เป็นผู้รําแม่ศรี) นุ่งโจงกระเบน ห่มสไบโดยผู้เป็นแม่ศรีต้องใส่เสื้อผ้าสีแดง และมีผ้าปิดตาตอนเริ่มเชิญแม่ศรีเข้าทรง (บางที่จะมีการใช้ผ้า ปิดตา) และคนที่นั่งล้อมเป็นวงกลมจํานวนกี่คนก็ได้รําสวยที่สุดในหมู่บ้าน ผู้รําแม่ศรีจะถือกรวยดอกไม้ธูปเทียน นั่งอยู่กลางวง ผู้เล่นคนอื่นจะร้องเพลงเชิญแม่ศรีร้องซ้ําไปมาจนแม่ศรีเข้าร่างทรงจะวางดอกไม้และเริ่มลุกรํา (นิชรา พรมประไพ, การสัมภาษณ์, 24 ตุลาคม 2565)
เครื่องประดับการแต่งกายของแม่ศรี (Aepowerae, 2564)
1. กําไลข้อมือ
2. ที่รัดแขน
3. สังวาล
4. ปั้นเหน่งหรือเข็มขัด
5. กําไลข้อเท้า
6. ต่างหู
7. สร้อยคอ ทับทรวง (Vanus Culture, 2021)
จากข้อมูลข้างต้นผู้เขียนสรุปได้ว่า การแต่งของแม่ศรีมักจะใส่เสื้อผ้าสีแดงและมีผ้าปิดตา ใส่กําไล ข้อมือข้อเท้า ที่รัดแขน สังวาล ปั้นเหน่งหรือเข็มขัด ต่างหู สร้อยคอทับทรวง และจะถือกรวยดอกไม้ธูปเทียน
บทสรุป
จากการศึกษาเรื่องรําแม่ศรี วัตถุประสงค์ที่ 1) ประวัติและความเป็นมา เมื่ออดีตเวียงจันทน์มีความเชื่อ เรื่องเสาหลักเมืองโดยให้มนุษย์ลงไปฝังกับเสาเป็นผีบรรพบุรุษปกป้องบ้านเมือง ต่อมาชาวเวียงจันทน์เข้ามา ประเทศไทยสมัยกรุงธนบุรีจากการก่อกบฏของเจ้าอนุวงศ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ต้อนคน เวียงจันทน์มาให้มากที่สุดและตั้งถิ่นฐานกระจายแต่ละภาค โดยภาคอีสานประเพณีการเล่นหายสาบสูญไป ครึ่งศตวรรษกลับคืนมาได้ด้วยความสามัคคีของคนในหมู่บ้าน ส่วนภาคกลางและภาคเหนือมักจะเล่นเพื่อความ สนุกสนานและทํานายพืชผลทางการเกษตร ภาคใต้นิยมในวันสงกรานต์ทําบุญตักบาตรเข้าวัดฟังธรรม มีความเชื่อ ในการขจัดสิ่งชั่วร้ายให้ปีใหม่ไทยมีแต่สิ่งดีสิ่งที่เป็นมงคลปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง ส่วนชาวปากคลองจะคัดเลือกสาวงามที่ชาวบ้านให้เป็นแม่ศรีในวันสงกรานต์รอบวงร่วมร้องเชิญแม่ศรีลงมารํา นิชรา พรมประไพ (การสัมภาษณ์, 24 ตุลาคม 2565) ปัจจุบันรําแม่ศรีไม่เป็นที่นิยมจึงประยุกต์เป็นการรําเปิดการแสดงในงานมหรสพต่าง ๆ เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรม วัตถุประสงค์ที่ 2) ขั้นตอน/ วิธีกระบวนการ การเข้าทรงแม่ศรี บ้านปากคลองต่างจากที่อื่นแต่จะเหมือนกันตรงใช้สาวงามที่สุดในหมู่บ้านมา จากนั้นจุดธูปเชิญผี ผูกผ้าปิดตา ผู้อาสาเชิญผีเข้าแล้วร้องเพลงเชิญผี จนผีเข้าร่างแล้วก็ร้องรําจนเหนื่อย จึงตะโกนข้างหูให้ผีออกจากร่าง วัตถุประสงค์ที่ 3) ท่าการแสดงจําเพาะ เลือกใช้ท่ารําสอดคล้องกับความหมายเลือกใช้ท่ารําในแม่บทมาประดิษฐ์เป็นท่ารํา เพื่อสื่อความหมายตามบทร้องให้เป็นแบบแผนทางนาฏศิลป์ วัตถุประสงค์ที่ 4) เพลงที่ใช้ ในการแสดงไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง สันนิษฐานว่ายังคงเป็นลักษณะและรูปแบบของ ดนตรีไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นเครื่องดนตรีที่เล่นง่ายและเข้าถึงง่ายอย่าง ฉิ่ง ฉาบ และกลองโทน วัตถุประสงค์ที่ 5) การแต่งกายผู้แสดง/เครื่องประดับ การแต่งของแม่ศรีมักจะใส่เสื้อผ้าสีแดงและมีผ้าปิดตา กําไลข้อมือข้อเท้า ที่รัดแขน สังวาล ปั้นเหน่งหรือเข็มขัด ต่างหู สร้อยคอทับทรวง และถือกรวยดอกไม้ธูปเทียน
คำสำคัญ : รำแม่ศรี
ที่มา : ธนัฐธนสร ชัยรักษ์นิธิภัทร และคนอื่น ๆ. (2566). รำแม่ศรีจังหวัดกำแพงเพชร. วารสารกำแพงเพชรศึกษา, 6(6). 79-88.
รวบรวมและจัดทำข้อมูล : กาญจนา จันทร์สิงห์
สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มาหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. (2567). รำแม่ศรีจังหวัดกำแพงเพชร. สืบค้น 11 กุมภาพันธ์ 2568, จาก https://arit.kpru.ac.th/ap2/local/?nu=pages&page_id=2252&code_db=610004&code_type=01
Google search
เทศบาลตำบลนครชุมส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ทำพิธีพลียาและชวน“กินแกงขี้เหล็กวันเพ็ญเดือนสิบสอง” ในวันเพ็ญเดือนสิบสองตัวยาจากต้นขี้เหล็กจะหนีขึ้นสู่ยอด จะเป็นยารักษาสารพัดโรค คนนครชุมโบราญจึงมีพิธีพลียาคือ การบวงสรวงขอดอก ใบ ผล ฯลฯ จากต้นขี้เหล็กเพื่อไปใช้เป็นเครื่องยารักษาโรค โดยจะทำการเก็บในตอนเช้ามืด และแกงในวันเดียวกัน
เผยแพร่เมื่อ 21-01-2020 ผู้เช้าชม 2,203
ชุมชนบ้านวังพระธาตุ ตำบลไตรตรึงษ์ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร เป็นชุมชนโบราณมีความเป็นมาตั้งแต่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี มีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์หลายด้าน เช่น นิทานเรื่องท้าวแสนปม การละเล่นพื้นบ้านต่างๆ และขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงระบำ ก. ไก่ ซึ่งมีลักษณะการใช้ภาษาที่โดดเด่นเล่นคำอักษร ก ถึง ฮ เนื้อหาของบทร้องเป็นไปในเชิงเกี้ยวพาราสี โดยสะท้อนถึงชีวิตของคนไทยสมัยหนึ่ง จึงเป็นกิจกรรมที่พึงกระทำ และเป็นแนวทางในการอนุรักษ์ไว้ให้คนรุ่นหลังได้สืบสานต่อมา
เผยแพร่เมื่อ 13-02-2018 ผู้เช้าชม 8,251
แม่ศรีเป็นการละเล่นพื้นบ้านตามความเชื่อของชาวบ้านในเรื่องการเข้าทรง จากวรรณกรรมเรื่องทุ่งมหาราชของครูมาลัย ชูพินิจ ได้กล่าวถึงการรำแม่ศรี เพื่อคัดเลือกสาวงามประจำหมู่บ้าน นิยมเล่นกันในงานสงกรานต์ ผู้สืบค้นคือ แม่เฟี้ยม กิตติขจร แสดงโดยแม่บ้านตำบลนครชุม อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร วิธีการเล่น แม่ศรีจะเลือกจากหญิงสาวที่มีหน้าตาสวยงาม รำสวยที่สุดในหมู่บ้าน ผู้รำแม่ศรีจะถือกรวยดอกไม้ธูปเทียน นั่งอยู่กลางวง ผู้เล่นคนอื่นจะร้องเพลงเชิญแม่ศรีร้องซ้ำไปมาจนแม่ศรีเข้าร่างทรงจะวางดอกไม้และเริ่มลุกรำ
เผยแพร่เมื่อ 13-02-2018 ผู้เช้าชม 29,115
ขี้เหล็กเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง คนโบราณเอาใบอ่อนและดอกมาปรุงเป็นของกิน ในวันเพ็ญ เดือน 12 ทำแกงขี้เหล็กกันทุกครัวเรือน คนนครชุมโบราณถือว่า วันเพ็ญเดือน 12 ยอดขี้เหล็กจะเป็นยารักษาสารพัดโรค แต่ต้องเก็บตอนเช้ามืด โดยมีความเชื่อที่ว่า การปรุงแกงขี้เหล็กเพื่อเป็นยาอายุวัฒนะ ก่อนหน้าการลอยกระทงเพียง 12 ชั่วโมง ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น จะมีพิธีพลียาจากต้นขี้เหล็ก เพราะมีความเชื่อว่าต้นขี้เหล็กจะมีเทพเทวดาคอยรักษา จึงต้องทำพิธีนี้ขึ้นเพื่อขออนุญาตนำดอกขี้เหล็กและใบอ่อนไปปรุงเป็นอาหารและต้องแกงขี้เหล็กให้เสร็จภายในวันนั้น จะเก็บล่วงหน้าไม่ได้ มิฉะนั้นสรรพคุณจะไม่ขลัง
เผยแพร่เมื่อ 04-08-2022 ผู้เช้าชม 3,736
ในปัจจุบันนี้พิธีโกนจุกได้เลือนหายไปจากสังคมไทย เนื่องจากเด็กไม่นิยมที่จะไว้ผมจุก เพราะความเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมจึงทำให้พิธีกรรม ในสมัยโบราณได้สูญหายไป พิธีโกนจุกจะกระทำเมื่อเด็กย่างเข้าวัยหนุ่มสาว หมายความว่า ชายจะมีอายุ 13 ปี ส่วนหญิงจะมีอายุ 11 ปี จึงมีการบอกกล่าวแก่ญาติมิตรโดยเรียกว่า พิธีมงคลโกนจุก ในพิธีการสวดมนต์เย็นก่อนวันฤกษ์ 1 วัน วันรุ่งขึ้นเลี้ยงพระแล้วต้องตัดจุกเด็กตามเวลาฤกษ์ ในตอนบ่ายจะมีการเวียนเทียนสมโภชทำขวัญเด็กตามแบบพิธีพราหมณ์ โดยส่วนมากพิธีโกนจุกจะหาโอกาสทำร่วมกับพิธีมงคลอื่นๆ เช่น การทำบุญขึ้นบ้านใหม่ การทำบุญวันเกิด เป็นต้น
เผยแพร่เมื่อ 26-02-2017 ผู้เช้าชม 7,190
จุดกำเนิดของการแต่งกายต่าง ๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จากการพบชุมชนโบราณที่เขากะล่อน พบเครื่องประดับประเภททำด้วยหิน เช่น กำไล หินขัด ชุมชนโบราณบ้านหนองกอง ตำบลนาบ่อคำ พบลูกปัดแก้ว ลูกปัดทำจากแร่อะเกตตา เนียล และชุมชนโบราณเมืองไตรตรึงษ์ พบลูกปัดแก้ว ลูกปัดหินทำเป็นสร้อยคอและสร้อยข้อมือ เป็นจุดกำเนิดของการแต่งกายของชาวกำแพงเพชรสมัยก่อนประวัติศาสตร์เท่าที่สืบค้นได้ในปัจจุบัน
เผยแพร่เมื่อ 21-02-2017 ผู้เช้าชม 6,189
ในทุกๆ ปี คณะกรรมการจัดงานเจ้าพ่อเจ้าแม่คลองลาน (เถ่านั๊ง) จะอัญเชิญองค์เจ้าพ่อเจ้าแม่คลองลานออกเยี่ยมเยียนชาวบ้านร้านค้าตลาดคลองลานพัฒนาทุกๆ บ้าน พ่อค้าประชาชนในตลาดคลองลานพัฒนาที่เลื่อมใสและศรัทธา จะทำการตั้งโต๊ะบูชาเพื่อกราบไหว้เจ้าพ่อเจ้าแม่คลองลานไว้ที่หน้าบ้านของตนเอง ผลไม้ห้าอย่าง ธูป เทียนแดง กระดาษไหว้ พร้อมด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้าน ออกมาเพื่อต้อนรับเจ้าพ่อเจ้าแม่คลองลานที่จะมาอำนวยอวยพรให้พวกเราทุกๆ คนประสบความสำเร็จ มีโชคมีลาภ
เผยแพร่เมื่อ 27-04-2020 ผู้เช้าชม 1,636
ในช่วงวันสารทไทย ประมาณเดือนกันยายนของทุกปี จะมีผลผลิตของกล้วยไข่ออกมามาก ดังนั้นทางจังหวัดกำแพงเพชรจึงจัดงานสารทไทยกล้วยไข่เมืองกำแพงเพชรขึ้น เพื่อเผยแพร่กล้วยไข่ซึ่งเป็นผลไม้พื้นเมืองของจังหวัด ภายในงานมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกมากมาย เช่น การประกวดกล้วยไข่ดิบ-สุก ชมขบวนแห่รถที่ประดับตกแต่งด้วยกล้วยไข่อย่างประณีต สวยงาม ชมการแสดงต่างๆ และร่วมพิธีกวนกระยาสารทกระทะหลวง นอกจากนี้ยังจัดให้มีการประกวดและจำหน่ายกล้วยไข่ การแข่งขันกวนกระยาสารท กวนข้าวกระยาทิพย์ งานนิทรรศการทางการเกษตร การออกร้านจำหน่ายสินค้าและการแสดงมหรสพต่างๆ
เผยแพร่เมื่อ 05-02-2017 ผู้เช้าชม 6,731
เป็นการละเล่นพื้นบ้านเก่าแก่ของตำบลนครชุม จังหวัดกำแพงเพชร การละเล่นนี้ได้ดัดแปลงการคล้องช้างลากไม้มาแสดงรำคล้องช้างในเทศกาลสงกรานต์ การทำบุญกลางบ้าน เพื่อหนุ่มสาวได้มีโอกาสพบปะกัน ผู้สืบค้น แม่เฟี้ยม กิตติขจร แม่ลำภู ทองธรรมชาติ แสดงโดยแม่บ้านตำบลนครชุม อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร วิธีการเล่น ดนตรีและนักรองจะเริ่มบรรเลง ฝ่ายชายจะจับชายผ้าทั้งสอง ชายรำป้อออกมาคล้องหญิงที่ตนสนใจ แล้วรำต้อนไปมาอยู่กลางวง ฝ่ายหญิงนำฝ่ายชายมาส่งแล้วไปคล้องชายคนอื่นๆ สลับกัน
เผยแพร่เมื่อ 13-02-2018 ผู้เช้าชม 11,109
พระมหาธรรมราชาลิไท นำพระบรมพระสารีริกธาตุและพระศรีมหาโพธิ์ มาประดิษฐานตั้งแต่พุทธศักราช 1900 กาลเวลาล่วงมาพระบรมธาตุกลายเป็นวัดร้าง พญาตะก่า พ่อค้าไม้ชาวกะเหรี่ยง ได้ขอพระบรมราชานุญาต สร้างเจดีย์ทรงมอญครอบไว้ แต่มิทันเสร็จพญาตะก่าถึงแก่กรรม พะโป้น้องชายบูรณะต่อ โดยนำฉัตรทองจากเมืองมะระแหม่ง มาประดิษฐาน ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2449 ก่อนหน้าพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จกำแพงเพชรเพียง 3 เดือน คือเมื่อ 99 ปีที่ผ่านมา เจดีย์วัดพระบรมธาตุเป็นหลักชัย ในพระพุทธศาสนาเมืองกำแพงเพชรมาตลอดเกือบศตวรรษ
เผยแพร่เมื่อ 14-02-2018 ผู้เช้าชม 1,311