ศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย จังหวัดกำแพงเพชร

ศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย จังหวัดกำแพงเพชร

เผยแพร่เมื่อ 24-09-2024 ผู้ชม 107

[16.4999373, 99.5154259, ศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย จังหวัดกำแพงเพชร]

บทนำ
      “เห้งเจีย (ฉีเทียนต้าเซิ้ง) ลิงในวรรณกรรมที่กลายเป็นเทพเจ้า” เป็นวรรณกรรมจากปลายปากกาของ “จรัสศรี จิรภาส” อาจารย์ประจําสาขาวิชาภาษาจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งได้ค้นคว้าข้อมูล เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับวานรตั้งแต่สมัยโบราณกาล โดยมนุษย์เชื่อว่า ลิงเป็นสัตว์ลี้ลับ สามารถ ปกปักรักษา ป้องภัยให้ และเพื่อสืบทอดความเชื่อเหล่านี้ มนุษย์จึงอาศัยการบอกเล่าเป็นนิทานเพื่อทําให้บอก เล่าง่ายและจดจําง่าย ซึ่งนิทานที่ว่า อาจเกิดจากเค้ามูลของความจริงหรือไม่ก็ได้ บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1) ประวัติความเป็นมา 2) ขั้นตอนการสักการะ 

ประวัติความเป็นมาของศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย
       เห้งเจีย หรือซุนหงอคง หนึ่งในพญาวานรที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก และมีผู้คนนับถือศรัทธาในด้านของความมีปฏิภาณไหวพริบ เฉลียวฉลาดรอบรู้ รอดพ้นจากทุกอุปสรรคปัญหาที่เข้ามา ซึ่งในเมืองไทยเองก็มี ศาลเจ้าพ่อเห้งเจียอยู่หลายแห่งด้วย (เรียกว่า ไต่เสี่ยฮุกโจ้ว หรือเจ้าพ่อเห้งเจีย) เป็นการบ่งบอกถึงความนิยม และศรัทธาเลื่อมใสได้เป็นอย่างดี
       “เห้งเจีย (ฉีเทียนต้าเซิ้ง) ลิงในวรรณกรรมที่กลายเป็นเทพเจ้า” เป็นวรรณกรรมจากปลายปากกาของ “จรัสศรี จิรภาส” อาจารย์ประจําสาขาวิชาภาษาจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งได้ค้นคว้าข้อมูล เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับวานรตั้งแต่สมัยโบราณกาล โดยมนุษย์เชื่อว่า ลิงเป็นสัตว์ลี้ลับ สามารถปกปักรักษา ป้องภัยให้ และเพื่อสืบทอดความเชื่อเหล่านี้ มนุษย์จึงอาศัยการบอกเล่าเป็นนิทานเพื่อทําให้บอกเล่าง่ายและจดจําง่าย ซึ่งนิทานที่ว่า อาจเกิดจากเค้ามูลของความจริงหรือไม่ก็ได้
        เห้งเจียเป็นตัวละครหนึ่งใน “ไซอิ๋ว” เท่านั้น แต่ในปัจจุบันตัวละครนี้เสมือนมีตัวตนดํารงอยู่ในโลกความเป็นจริงและเป็นที่เคารพของกลุ่มคน แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงเห้งเจีย อาจต้องเอ่ยถึงต้นฉบับวรรณคดี ที่ตัวละครนี้ปรากฏอยู่ นั่นคือ ไซอิ๋ว ซึ่งเดิมที่เชื่อกันว่าเป็นวรรณกรรมสมัยราชวงศ์หมิง เคยเล่ากันว่า “อู่ เฉิงเอิน” นักประพันธ์ (ค.ศ. 1500-1582) เป็นผู้รวบรวมเรื่องเล่าจากท้องถิ่นต่างๆ มาผสมผสานเป็นวรรณกรรม
        อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาค้นคว้าของจรัสศรี จิรภาส ผู้เขียนหนังสือ “เห้งเจีย (ฉีเทียนต้าเซิ้ง)” อธิบายว่า ผู้แต่งที่แท้จริงนั้นจะใช่ “อู่ เฉิงเอิน” หรือไม่ ยังไม่สามารถบ่งชี้อย่างชัดเจน แต่ที่ศึกษากันจนยอมรับกันนั้นคือ เรื่องไซอิ๋วเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง อันเป็นรอยต่อระหว่างราชวงศ์ถัง ภายหลังจาก พระถังซัมจั๋งกลับมาจากประเทศอินเดียและแปลคัมภีร์พุทธศาสนาเผยแพร่ในประเทศ เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ ลูกศิษย์ของท่านแต่งหนังสือเรื่อง “ต้าถังซานจังหวี่จึงซื้อฮว้า” (บันทึกการเดินทางไปอาราธนาพระไตรปิฎก ของพระตรีปิฎกแห่งมหาราชวงศ์ถัง) ซึ่งเชื่อกันว่าผลงานนี้เป็นจุดเริ่มต้นของวรรณกรรมไซอิ๋ว และเล่มนี้เช่นกันที่ “เห้งเจีย” ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าลิงเทพเจ้าที่โด่งดังอย่างเห้งเจีย ก็สืบเนื่องมาจากฉบับไซอิ๋ว มากกว่า และกลายเป็นเทพ “ฉีเทียนต้าเซิ้ง” ที่ผู้คนบูชา สําหรับเนื้อเรื่องในไซอิ๋วนั้น ชาวไทยและผู้คนหลาย ประเทศทั่วโลกน่าจะคุ้นเคยกันดี แต่ในที่นี้ผู้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเห้งเจีย ตั้งข้อสังเกตกันไว้ว่า ในวรรณกรรมจีน ไม่เคยมีตัวละครที่ถูกเขียนให้ท้าทายอาละวาดสวรรค์อย่างหนักหน่วงเช่นนี้ อาจเป็นไปได้ว่า ผู้เขียนแฝง แนวคิดต่อต้านระบอบศักดินาในช่วงเวลานั้น ซึ่งอาจสะท้อนถึงแนวคิดก้าวหน้าของผู้คนในยุคสมัยหมิงเช่นกัน เมื่อมีกําเนิดตัวละครแล้ว พัฒนาการมาสู่ความศรัทธาในภายหลังนั้น อาจต้องเริ่มต้นที่คําอธิบายว่า การนับถือ ลิงหรือสัตว์อื่นไม่ใช่เรื่องแปลก ประวัติศาสตร์จีนปรากฏพฤติกรรมการบูชาลิงมาก่อน เนื่องจากเป็นสัตว์ที่มี รูปร่างคล้ายมนุษย์ คนยุคโบราณจึงกราบไหว้ลิงเป็นเทพเจ้า แต่ความคิดเห็นของผู้ศึกษาเกี่ยวกับเห้งเจียอย่างจรัสศรี มองว่าการบูชาลิง-เห้งเจีย ซึ่งกําเนิดจากวรรณกรรมเป็นเรื่องแปลก (ณิชมน อินกันยา, 2563)
        การบูชาลิงจากวรรณกรรมนี้ไม่ใช่แค่ชนชาติอื่นอาจไม่เข้าใจ ชนชาติจีนเองและต้นกําเนิดตัวละคร ก็ยังไม่เข้าใจสาเหตุ ดังเช่นบันทึกของเผิง กวางโต่ว ชาวจีนสมัยราชวงศ์ชิง เขาบันทึกการเดินทางไปเมือง ฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) ว่า เมืองแห่งนี้มีเรื่องประหลาด 3 เรื่อง หนึ่งในนั้นย่อมมีเรื่อง “การบูชาเห้งเจีย” อย่างไรก็ตาม สําหรับชาวจีนทางใต้เองมองว่าการบูชาลิงเห้งเจียเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องจากทางใต้ของจีนบูชาลิงกันมายาวนาน จึงอาจพอสันนิษฐานได้ว่า เมื่อไซอิ๋วเริ่มแพร่หลายโด่งดังไปทั่วประเทศ ชาวจีนในท้องถิ่นที่มีการบูชาลิงจึงผนวก
        การบูชาลิงที่มีมาแต่โบราณเข้ากับการบูชาเห้งเจีย
        บันทึกของเผิง กวางโต่ว ยังสะท้อนให้เห็นอีกว่า การกราบไหว้บูชาลิงไม่ได้เป็นเรื่องปกติทั่วไปในจีน แต่นิยมอยู่ในบางท้องถิ่น โดยเฉพาะทางตอนใต้ อาทิ มณฑลหนิงเซี่ยะ กว่างตง (กวางตุ้ง) หูเป่ย และฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) พื้นที่เหล่านี้อยู่ในลุ่มน้ําตอนใต้ โดยเฉพาะฝูเจี้ยน ซึ่งน่าจะเป็นพื้นที่ซึ่งมีการกราบไหว้เห้งเจียกันมาก และเก่าแก่ที่สุด มีวัดบูชาเทพเจ้าลิงที่เก่าแก่ในฝูเจี้ยนชื่อ “วัดเหนิงเหยินชื่อ” อีกทั้งยังมีบันทึกโบราณหลายชิ้น บ่งชี้ว่า ทางตอนใต้ของจีนเป็นแหล่งที่อยู่ของฝูงลิง วิถีชีวิตของคนท้องถิ่นย่อมคุ้นเคยกับลิงมาแต่เดิมจรัสศรี ยัง สืบค้นต่อไปว่า ชาวจีนภาคใต้มีความเชื่อเรื่องลิงมีจิตวิญญาณคล้ายมนุษย์ โดยมนุษย์โบราณเชื่อว่าลิงชราอายุร้อยปี กลายเป็นลิงวิเศษ หากอายุพันปีจะกลายเป็นมนุษย์ เรื่องเล่าเช่นนี้ทําให้ชาวจีนบางส่วนไม่กล้า ทําร้ายลิง และอาจเรียกลิงว่า “ซื้อ” (อาจารย์) สําหรับลิงขาวก็จะได้รับการยกย่องในหมู่ชาวจีนบางท้องถิ่น และกราบไหว้ลิงขาวเป็น “ไป๋เลี้ยงจวิน” หรือ จอมพลขาว เป็นเทพอารักษ์ในหมู่บ้าน ยิ่งประกอบกับฝูเจี้ยน เป็นแหล่งโรงพิมพ์ขนาดใหญ่ การเผยแพร่และความนิยมเรื่อง “ไซอิ๋ว” น่าจะแพร่กระจายได้ไม่ยาก ส่วนหนึ่ง ก็อาจเป็นปัจจัยทําให้เกิดความนิยมความเชื่อบูชาเห้งเจียด้วย
        แต่ในยุคปัจจุบัน ร่องรอยการบูชาเห้งเจียในจีนตอนใต้โดยเฉพาะฝูเจี้ยนในมุมมองของชาวต่างชาติ ยังปรากฏหลากหลาย นักวิชาการไต้หวันเคยเขียนบทความว่าเขตเมืองฝูโจว ในมณฑลฝูเจี้ยน ไม่ปรากฏศาลเจ้า ฉีเทียนต้าเซิ้ง อย่างไรก็ตาม จากการลงพื้นที่ศึกษาของจรัสศรี เมื่อพ.ศ. 2546 ได้พบว่า เมืองฝูโจวส่วนหนึ่งยัง นิยมกราบไหว้เห้งเจีย มีสถานบูชาเห้งเจียหลายแห่ง แต่เมื่อสํารวจรอบเมืองฝูโจว ในพื้นที่ซึ่งเป็นเมืองโบราณ เก่าแก่กลับไม่การบูชาเห้งเจียเทียบเท่า ส่วนการแพร่ความเชื่อความศรัทธามาสู่ดินแดนอื่นนั้น เห็นได้ว่า ชาวจีน ที่แผ่นดินใหญ่ที่ไปตั้งรกรากในที่ต่าง ๆ จะปรากฏร่องรอยความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าไปอยู่ด้วย ดินแดนโพ้นทะเล ที่มีชาวจีนหรือลูกหลานชาวจีนอาศัยอยู่มากและมีร่องรอยการเคารพบูชาเห้งเจียก็มีตั้งแต่ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ในแง่เส้นทางประวัติศาสตร์ ผู้สืบค้นเกี่ยวกับเห้งเจียมองว่า ชาวจีนที่อพยพเข้ามาตั้งหลัก แหล่งในไทยมาจากมณฑลฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) และกว่างตง (กวางตุ้ง-แต้จิ๋ว) มากพอสมควร กลุ่มนี้นับถือวานรเทพ และเห้งเจียอย่างแพร่หลาย จึงสันนิษฐานได้ว่า ความศรัทธาในเห้งเจียเข้ามาในไทยพร้อมเรือสําเภาทะเล ผ่านการล่องเรือจากทางตอนใต้ของจีนมาสู่ท่าเรืออ่าวไทย เช่น ชลบุรี สงขลา ภูเก็ต สําหรับภูเก็ตแล้วเป็น พื้นที่ซึ่งมีชาวฮกเกี้ยนอาศัยอยู่มาก เมื่อไปสํารวจพื้นที่เหล่านี้จะพบเห็นศาลเจ้าเห้งเจียจํานวนมาก
        สิ่งเหล่านี้ย่อมสะท้อนคุณค่าทางความคิดของชาวบ้านและยังแสดงถึงความศรัทธาและความแพร่หลายของเจ้าพ่อเห้งเจียในเมืองไทยอีกด้วย สําหรับพื้นที่ที่ปรากฎเทพเจ้าเห้งเจียอย่างแพร่หลายย่อมมีชื่อภูเก็ตด้วย โดยจรัสศรี อธิบายว่า เห้งเจียเป็นเทพขวัญใจของคนหนุ่ม คนทรงเห้งเจียมักเป็นกลุ่มวัยรุ่น (จรัสศรี จิรภาส, 2547)
        ผศ.ดร.อชิรัชญ์ ไชยพจน์พานิช ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะคณะโบราณคดี มหาวิทยาศิลปากร เล่าอดีตที่มาของศาลเจ้าว่า “ศาลเจ้าที่พบเห็นในเมืองไทยส่วนใหญ่เป็นเรื่องของความเชื่อ ซึ่งผูกอยู่กับกลุ่มคนจีน สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่เมื่ออพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย หากแต่หลักฐานเด่นชัด มากขึ้นสมัยอยุธยา ดั่งจารึกบันทึกว่ามีศาลเจ้าภาคใต้ และกรุงเทพฯ แล้ว โดยพงศาวดารสมัยอยุธยาก็ได้มี บรรยายถึงตลาดคนจีน และพูดถึงศาลเจ้าปุ่นเถ้าก๋ง ซึ่งเป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่คนจีนแต้จิ๋วนับถือด้วย (OOM, 2561)
        จากที่มีหลักฐานเด่นชัดมากขึ้นในสมัยอยุธยา สันนิษฐานได้ว่าเมื่อชาวจีนฮกเกี้ยน และชาวจีนแต้จิ๋ว ได้มีการตั้งถิ่นฐานมากขึ้นในไทยในหลาย ๆ จังหวัดเริ่มถูกแพร่หลาย และจังหวัดกําแพงเพชรก็เป็นหนึ่ง ในจังหวัดที่มีคนจีนฮกเกี้ยน และจีนแต้จิ๋ว อาศัยอยู่อย่างมาก จึงมีการเผยแพร่ในเรื่องของไซอิ๋ว และการไหว้ลิง หรือองค์เห้งเจียนั่นเอง ทําให้คนหลาย ๆ พื้นที่เริ่มเลื่อมใส ศรัทธา และมีการตั้งศาล (ตี่จู้) กราบไหว้กัน และศาลเห้งเจียในจังหวัดกําแพงเพชรก็ได้ก่อตั้งมานานกว่า 40 ปีแล้ว ในส่วนของผู้ดูแลผู้เขียนได้สัมภาษณ์ ป้าเรียม (นางจันเรียม จอลเกิด) และลุงอ้วน (นายศิริวัฒน์ จอลเกิด) พี่ชายของป้าเรียม ตามความเชื่อคือ ได้รับเลือกจากอากง ส่วนใหญ่จะมีความผูกพันธ์กับศาล ซึ่งมักจะวนเวียนหรือมากราบไหว้อยู่บ่อย ๆ และ ได้รับเมตตาเป็นลูกหลานของอากง ป้าเรียมได้เริ่มดูแลศาลมาประมาณ 10 ปี ส่วนลุงอ้วนเริ่มมาดูแลศาลได้ ประมาณ 4 ปี ซึ่งการก่อตั้งจากที่เราได้สัมภาษณ์ ป้าเรียมได้บอกว่าคนที่สร้างศาลเจ้าหรือร่างทรงก็ไม่ได้อยู่ ในจังหวัดกําแพงเพชร ซึ่งร่างทรงของอากงเห้งเจียจะทํางานอยู่ที่ภาคใต้มีการไปมาที่ศาลบ้างบางครั้ง แต่ไม่เคย เล่าให้ใครฟังในเรื่องของที่มาอย่างแน่ชัด (ฉันเรียม จอลเกิด และศิริวัฒน์ จอลเกิด, การสัมภาษณ์, 23 ตุลาคม 2565)
        ทั้งนี้ศาลเจ้าที่มีอยู่ทั่วในประเทศไทยนับหมื่นศาลนั้น มีการแบ่งไปตามลักษณะความเชื่อที่สะท้อนผ่าน งานสถาปัตยกรรม จิตรกรรม และประติมากรรม ชาวจีน 5 กลุ่ม ภาษาที่ได้โล้สําเภามาแผ่นดินสยาม ซึ่งได้แก่ จีนแต้จิ๋ว จีนแคะ ฮกเกี้ยน ไหหลํา และกวางตุ้ง
        โดยศาลเจ้าจีนแต้จิ๋ว และกวางตุ้ง นิยมสะท้อนสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นผ่านหน้าบันตัวอาคาร ซึ่งส่วนใหญ่ ทําเป็นรูปทรงเรขาคณิตแบบต่าง ๆ เช่น อาจจะเป็นรูปทรงโค้งมน หรือรูปทรง 5 เหลี่ยม ที่เกิดจากความเชื่อ เกี่ยวกับธาตุทั้ง 5 ของคนจีนทั้งสองเชื้อสายนั่นเอง
        อย่างไรก็ตาม ศิลปะในศาลเจ้า ก็ได้มีการแบ่งเป็นศิลปะเหมือนศิลปะไทย คือ แบ่งเป็นศิลปะกระแสหลักและศิลปะท้องพื้นถิ่น ศาลเจ้าที่พบเห็นส่วนใหญ่จึงมีการผสมผสานระหว่างศิลปะจีนกระแสหลัก และศิลปะจีน พื้นถิ่น นั่นหมายความว่าศิลปะในศาลเจ้ามีทั้งงานศิลปะสถาปัตยกรรมส่วนที่เหมือนกัน และต่างกันไปตามความเชื่อ พื้นถิ่นที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน เป็นต้นว่า มีการวางผังในงานสถาปัตยกรรม ที่มีลักษณะเดียวกันกับวัดในพุทธศาสนานิกายมหายานของจีน และมีการใช้หลักของความสมมาตร โดยจัดตําแหน่งอาคารเป็นแกนกลาง รวมถึงการจัดวางสัญลักษณ์มงคล จําพวกงานประดับต่าง ๆ (OOM, 2561)

ขั้นตอนการสักการะบูชา
        เมื่อเดินทางมาถึงศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย เราสามารถซื้อเครื่องบูชาที่ถูกจัดเตรียมไว้กับทางศาลเจ้า โดยชุด บูชาเทพเจ้าเห้งเจียนั้น ถูกแบ่งออกเป็นชุด ที่ประกอบไปด้วย ธูป 1 ห่อ เทียนแดง 2 เล่ม และน้ํามัน 1 ขวด การบูชาเจ้าพ่อเห้งเจียนั้น เราใช้ธูปทั้งหมด 60 ดอก และมีจุดให้เราสักการะเทพเจ้าของทั้งศาล รวมแล้ว 14 จุด ด้วยกัน เกือบทุกองค์ที่จะเป็นการนําของเจมากราบไหว้ และจะมีบางองค์ที่สามารถนําเนื้อสัตว์หรือ เหล้ามาถวายได้ ในศาลเห้งเจียในจังหวัดกําแพงเพชรจะมีการกราบไหว้แบ่งเป็น 3 โซน โซนด้านหน้าของ ตัวศาลเจ้า โซนด้านในของตัวศาลเจ้า และมีโซนด้านหลังจะแบ่งเป็นชั้นบนและชั้นล่าง
        โดยเริ่มจากการไหว้ด้านหน้าของศาล ใช้ธูปทั้งหมด 19 ดอก ขั้นตอนการไหว้จะเริ่มจาก
        จุดที่ 1 องค์ทีซี่ จะจุดธูปไหว้ 5 ดอก เราต้องไหว้องค์ที่ที่เป็นองค์แรก (พี่ใหญ่) และยังถือว่าท้องฟ้าเป็นธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ แผ่ขยายอาณาเขตออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
        จุดที่ 2 องค์ฉีเทียนต้าเซิ้น จะจุดธูปไหว้ 3 ดอก และไหว้เป็นองค์ที่สอง (พี่รอง) นับเป็นผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
        จุดที่ 3 องค์หลักสี่เก๊า จะจุดธูปไหว้ 3 ดอก และไหว้เป็นองค์ที่สาม (พี่สาม) จะทําในเรื่องพิธีกรรมที่เกี่ยวกับไฟทั้งหมดของไหว้หรือเหล้าจะเป็นสีแดงเท่านั้น
        จุดที่ 4 องค์หวู่เทียนต้าเส็น จะจุดธูปไหว้ 3 ดอก และไหว้เป็นองค์ที่สี่ (น้องรอง) สามารถขอในเรื่องการงานได้
        จุดที่ 5 องค์แปะกง จะจุดธูปไหว้ 5 ดอก และไหว้เป็นองค์ที่ห้า (น้องเล็ก) แปะกงถือว่าเป็นเจ้าที่ที่คอยดูแลศาลเห้งเจีย สามารถนําเนื้อสัตว์มาไหว้ได้ เมื่อไหว้ทางด้านหน้าของศาลเรียบร้อยแล้ว เราจึงเข้ามาไหว้ด้านในของศาล จะใช้ธูปไหว้ทั้งหมด 17 ดอก ก่อนจะเริ่มไหว้เราต้องนําเทียนทั้ง 2 เล่ม จุดแล้วนําไปปักในกระถางซ้ายและขวา แล้วนําน้ํามันไปเติมให้ครบ ทั้ง 4 ตะเกียง จากนั้นเราจึงเริ่มไหว้โดยเริ่มจาก
        จุดที่ 6 องค์ใต้เสี่ยฮุกโจ้ว ตั้งอยู่ตรงกลาง จุดธูปไหว้ 9 ดอก ถือว่าเป็นองค์หลักที่มีปฏิภาณไหวพริบ เฉลียวฉลาดรอบรู้ รอดพ้น จากทุกอุปสรรคปัญหาที่เข้ามา
        จุดที่ 7 องค์ไฉ่ซิ่งเอี๊ยะ ตั้งอยู่ด้านซ้าย จุดธูปไหว้ 3 ดอก
        จุดที่ 8 องค์กวงเสี่ยตี่กง ตั้งอยู่ด้านขวา จุดธูปไหว้ 3 ดอก
        จุดที่ 9 องค์หมิ่งซิ้ง เราจะไหว้ทั้งสองฝั่ง ซ้ายและขวาของหน้าประตูศาล จุดธูปไหว้ 1 ดอก เมื่อไหว้ทางด้านหน้าประตูเรียบร้อยแล้ว เราจะจุดธูปที่เหลือทั้งหมด 24 ดอก แล้วไปไหว้ด้านหลังของศาล โดยจะขึ้นไปไหว้ด้านบนก่อน แล้วจึงมาไหว้ด้านล่าง ตามลําดับ
        จุดที่ 10 พระยูไลฮุกโจ้ว ตั้งอยู่ตรงกลางชั้นบน จุดธูปไหว้ 9 ดอก เป็นเทพเจ้าแห่งเทศกาลกินเจ ในแต่ละปีจะมีเทศกาลกินเจ เพื่อสักการะพระยูไลฮุกโจ้ว
        จุดที่ 11 พระแม่กวนอิมพันมือ (พระโพธิสัตว์) ตั้งอยู่ด้านซ้ายชั้นบน จุดธูปไหว้ 3 ดอก นับถือช่วยให้พ้นจากภัยพิบัติ นับถือการกินเจ
        จุดที่ 12 องค์ไทเสียงเล่ากง ตั้งอยู่ด้านขวาชั้นบน จุดธูปไหว้ 3 ดอก เป็นเทพเจ้าแห่งสุขภาพและความสมดุล ผู้ที่ต้องการให้ สุขภาพแข็งแรงจะนิยมกราบไหว้ขอพร
        จุดที่13 พระสังฆจาย (พระอรหันต์) ตั้งอยู่ตรงกลางด้านล่าง จุดธูปไหว้ 3 ดอก สามารถขอบารมีด้านโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง
        จุดที่ 14 18 เซียน จะอยู่ฝั่งด้านซ้ายและขวาของด้านล่าง จะมีเซียนฝั่งละ 9 องค์ จุดธูปไหว้ 3 ดอกทั้งสองฝั่ง

อรหันต์ทั้ง18 องค์ มีดังนี้
        1. เจียวเช้าซินซือ ฉายา ภิกษุในรังนก
        2. จื้อได้ซินซือ เป็นภิกษุอินเดีย ชื่ออิศวร
        3. เค้าทงซินซือ อยู่ที่เขาหยกมอง
        4. ฮงกันซินซือ ฉายาผู้ปราบเสือให้เชื่อง
        5. ฮุยเอี๊ยงซินซือ
        6. ซิบติดจื่อ ฉายาผู้เก็บตก
        7. ฮัน ว อ ฉายาอยู่ในถ้ํา
        8. ฮุยซางซินซือ
        9. กูตี้ฮั่วเสียง เป็นภิกษุอินเดีย ชื่อคุณมติ
       10. เต้าด้วยซินซือ อยู่เกาะทอง
       11. ซีจือปักคูจุนเจี่ย เป็นภิกษุอินเดีย ชื่อสิงหลบุตร
       12. ซ่งซัวะซินซือ
       13. ส่อฮูลอต้นจุนเจีย นามเป็นบาลี คือ ราหุล
       14. เซ่งจันซินซือ
       15. จี้โมโลจั๊บ นามเป็นบาลี คือ กุมารชีพ
       16. โมโหเกียเหยจุนเจีย นามเป็นบาลี คือ มหากัสสป
       17. ม้าเม้งจุนเจีย นามเป็นบาลี คือ อัศวโฆษ
       18. ปโต้ฮั่วเสียง ฉายาพระท้องพลุ้ย (Raponsan, 2555)
       จากที่กล่าวมา ไม่ได้มีเพียงแค่ไหว้ทั้ง 16 จุด แต่ยังมีการเสี่ยงเซียมซี และยังมีโป้ย หรือว่าการเสี่ยงทายด้วยไม้คู่ประกบ นอกจากนี้ในบางครั้งยังมีร่างทรงที่คอยลงมาเยี่ยมและช่วยเหลือลูกหลานของอากง และทุก ๆ ปี จะมีการจัดงานเทศกาลกินเจ และมีการอาบน้ํามนต์ปีละครั้งเพื่อปัดเป่าสิ่งไม่ดีและสิ่งชั่วร้าย ตามความเชื่อของคนที่เคารพบูชาอากง

บทสรุป
       จากการศึกษาเรื่อง ศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย มีวัตถุประสงค์ 1) ประวัติความเป็นมาของเจ้าพ่อเห้งเจีย พบว่า เจ้าพ่อเห้งเจีย หรือไต่เสี่ยฮุกโจ้ว หนึ่งในพญาวานรที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก และมีผู้คนนับถือศรัทธา ในด้านของความมีปฏิภาณไหวพริบ เฉลียวฉลาดรอบรู้ รอดพ้นจากทุกอุปสรรคปัญหาที่เข้ามา ซึ่งในเมืองไทยเอง ก็มีศาลเจ้าพ่อเห้งเจียอยู่หลายแห่งด้วย เป็นการบ่งบอกถึงความนิยม และศรัทธาเลื่อมใสได้เป็นอย่างดี โดยมนุษย์เชื่อว่า ลิงเป็นสัตว์ลี้ลับ สามารถปกปักรักษา ป้องภัยให้ และเพื่อสืบทอดความเชื่อเหล่านี้ มนุษย์จึง อาศัยการบอกเล่าเป็นนิทานเพื่อทําให้บอกเล่าง่ายและจดจําง่าย สันนิษฐานได้ว่าเมื่อชาวจีน ได้มีการตั้งถิ่นฐาน มากขึ้นในไทย ในหลาย ๆ จังหวัดเริ่มถูกแพร่หลาย และจังหวัดกําแพงเพชรก็เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีคนจีนอาศัย อยู่อย่างมาก จึงมีการเผยแพร่ในเรื่องของไซอิ๋ว ทําให้หลาย ๆ คนในพื้นที่เริ่มเลื่อมใส ศรัทธา และมีการตั้งศาล (ตี่จู้) กราบไหว้กัน และศาลเห้งเจียก็ได้ก่อตั้งมากว่า 40 ปีแล้ว ในส่วนของผู้ดูแลผู้เขียนได้สัมภาษณ์ป้าเรียม (นางจันเรียม จอลเกิด) และลุงอ้วน (นายศิริวัฒน์ จอลเกิด) พี่ชายของป้าเรียม ตามความเชื่อคือ ได้รับเลือก จากอากง มักจะได้รับเมตตาเป็นลูกหลานของอากง ซึ่งการก่อตั้งจากที่เราได้สัมภาษณ์ ป้าเรียม ได้บอกว่า คนที่สร้างศาลเจ้าหรือร่างทรงก็ไม่ได้อยู่ในจังหวัดกําแพงเพชร ซึ่งร่างทรงของอากงเห้งเจียจะทํางาน อยู่ที่ภาคใต้ มีการไปมาที่ศาลบ้างบางครั้ง แต่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังในเรื่องของที่มาอย่างแน่ชัด วัตถุประสงค์ 2) ขั้นตอน สักการะบูชา พบว่า การสักการะบูชาองค์ไต่เสี่ยฮุกโจ้ว (เจ้าพ่อเห้งเจีย) จังหวัดกําแพงเพชร จะแบ่งเป็นขั้นตอน โดยมีการกําหนดจุดการไหว้เทพเจ้าต่าง ๆ ภายในศาลเจ้าทั้งหมด 16 จุด ก่อให้เกิดความสะดวกและความเข้าใจ กับผู้ที่มาสักการะ คือจุดที่ 1 องค์ที่สี่ (เทพฟ้า-ดิน) จะจุดธูปไหว้ 5 ดอก จุดที่ 2 องค์ฉีเทียนต้าเซิ้น (มหาเทพ ฉีเทียนต้าเซิ้น) จะจุดธูปไหว้ 3 ดอก จุดที่ 3. องค์หลักสี่เก๊า (เทพแห่งไฟ) จะจุดธูปไหว้ 3 ดอก จุดที่ 4 องค์หมู่เทียน ต้าเส้น (เทพเรื่องการงาน) จะจุดธูปไหว้ 3 ดอก จุดที่ 5 องค์แปะกง (เจ้าที่) จะจุดธูปไหว้ 5 ดอก จุดที่ 6 องค์ใต้เสี่ยฮุกโจ้ว (เจ้าพ่อเห้งเจีย) จุดธูปไหว้ 9 ดอก จุดที่ 7 องค์ไฉ่ซิ่งเอี๊ยะ (เทพเจ้าเงินตรา) จุดธูปไหว้ 3 ดอก จุดที่ 8 องค์กวงเสี่ยตี่กง (เจ้าพ่อกวนอู) จุดธูปไหว้ 3 ดอก จุดที่ 9 องค์หนึ่งซึ้ง (เทพเฝ้าหน้าประตู) จะมีซ้าย และขวาของหน้าประตูศาล จุดธูปไหว้ 1 ดอกทั้งสองฝั่ง จุดที่ 10 พระยูไลฮุกโจ้ว (พระพุทธเจ้า) จุดธูปไหว้ 9 ดอก จุดที่ 11 พระแม่กวนอิมพันมือ (พระโพธิสัตว์) จุดธูปไหว้ 3 ดอก จุดที่ 12 องค์ไทเสียงเล่ากง จุดธูปไหว้ 3 ดอก จุดที่ 13 พระสังฆจาย (พระอรหันต์) จุดธูปไหว้ 3 ดอก จุดที่ 14 18 เซียน (18 อรหันต์) จะมีเซียนฝั่งละ 9 องค์ จุดธูปไหว้ 3 ดอกทั้งสองฝั่ง โดยแต่ละจุด จะมีการใช้ธูปไหว้ที่ไม่เท่ากัน เพราะเป็นการแบ่งชนชั้น หรือยศศักดิ์ ของแต่ละองค์ อีกทั้งยังมีเครื่องเซ่นไหว้ที่สามารถนํามาถวาย บางองค์ก็มีข้อจํากัดในการไหว้ อย่างเช่น องค์แปะกง ที่สามารถถวายเนื้อสัตว์ได้ แต่องค์อื่น ๆ ต้องเป็นของเจเท่านั้น หรืออย่างองค์หลักสี่เก้า ที่จะต้องถวายของแดง เท่านั้น เพราะถือว่าเป็นองค์ไฟ ถึงแต่ละองค์จะไหว้ไม่เหมือนกัน หรือมีความสามารถที่แตกต่างกัน ก็สามารถ ขอพรในเรื่องอื่นได้ ไม่จํากัดว่าจะต้องขอเพียงเรื่องนั้นเรื่องเดียว ขึ้นอยู่กับตัวเราศรัทธามากแค่ไหน และอยากขอในเรื่องอะไรมากกว่า

คำสำคัญ : ศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย

ที่มา : ศุภโชคชัย นันทศรี และคนอื่น ๆ. (2566). ศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย จังหวัดกำแพงเพชร. วารสารกำแพงเพชรศึกษา, 6(6). 89-102.

รวบรวมและจัดทำข้อมูล : กาญจนา จันทร์สิงห์


สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มาหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. (2567). ศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย จังหวัดกำแพงเพชร. สืบค้น 12 พฤศจิกายน 2567, จาก https://arit.kpru.ac.th/ap/local/?nu=pages&page_id=2253&code_db=610004&code_type=01

Facebook Twitter LINE Linkedin

PDF

https://arit.kpru.ac.th/ap2/local/?nu=pages&page_id=2253&code_db=610004&code_type=01

Google search

Mic

ร่างทรง เข้าทรง ความหวัง ความเชื่อและความศรัทธา

ร่างทรง เข้าทรง ความหวัง ความเชื่อและความศรัทธา

พิธีกรรมการเข้าทรง เป็นพิธีกรรมที่มีมานาน โดยมีหลายท่านให้ความหมายไว้ว่า คนทรง หรือ ร่างทรง หมายถึง คนที่ให้เจ้าหรือผีมาเข้าสิงในตัว การเข้าสิงนั้น เรียกว่า "การเข้าทรง" Lan Anh -VOV5 (2557) กล่าวว่า การทรงเจ้าเป็นพิธีการสื่อสารกับเทพเจ้าต่าง ๆ ผ่าน ร่างทรง ลักษณะของการเข้าทรงก็คือ การกลายร่างเดิมมาเป็นร่างใหม่ที่มีวิญญาณของเทพเจ้าหรือเทวดาชั้นสูง มาประทับร่างเพื่อประทานพรให้มนุษย์ ณิชาพร จําเนียร และ อรพรรณ พิศลยบุตร (2565) กล่าวว่า พิธีกรรม เข้าทรง หรือ ร่างทรง ในความหมายของคนทั่วไปคือ บุคคลที่สามารถจะรับจิต วิญญาณของผู้อื่นที่จากไปแล้ว หรือ จากจิตวิญญาณของผู้อื่นที่เป็นเทพ เทวดา มาสิงสถิตอยู่ในร่างกายของตัวเองได้

เผยแพร่เมื่อ 23-09-2024 ผู้เช้าชม 152

ประเพณีบายศรีสู่ขวัญข้าว

ประเพณีบายศรีสู่ขวัญข้าว

ตามประเพณีไทย สิ่งที่มีบุญคุณกับคนไทยและมองไม่เห็นจะเรียกว่าแม่เสมอ เช่นน้ำเรียกกันว่า แม่คงคา พื้นดิน เรียกว่า แม่ธรณี ข้าวเรียกว่าแม่โพสพ ทุกสิ่งล้วนมีพระคุณต่อวิถีชีวิตของคนไทย มาตั้งแต่ตั้งเป็นชาติไทย ประเพณี การบูชาแม่โพสพ หรือข้าวนั้น คนไทยนิยมทำกันมาช้านานถือว่า แม่โพสพมีพระคุณกับคนไทยทั้งประเทศ เพราะข้าวนั้นเลี้ยงคนไทย แม่โพสพจึงมีความหมายอย่างลึกซึ้งและเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตคนไทยมาโดยตลอด

เผยแพร่เมื่อ 09-01-2020 ผู้เช้าชม 9,294

ประเพณีงานบวช

ประเพณีงานบวช

งานบวช เป็นประเพณีไทยสืบเนื่องมาแต่โบราณกาล ชายไทยเมื่ออายุครบบวช จะต้องบวชให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อการศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและสืบทอดอายุพระพุทธสาสนาสร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ให้ตนเองและบิดามารดารวมทั้งหมู่ญาติการมีโอกาสได้เป็นนักบวช ดำรงเพศสมณะผุ้ตั้งใจฝึกฝนอบรมตนเองเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ

เผยแพร่เมื่อ 26-02-2017 ผู้เช้าชม 27,550

สงกรานต์กับเมืองโบราณกำแพงเพชร

สงกรานต์กับเมืองโบราณกำแพงเพชร

สงกรานต์แต่ละเมืองต่างมีเอกลักษณ์ แตกต่างกันไป กำแพงเพชรเป็นอีกเมืองหนึ่งที่มี เอกลักษณ์งานสงกรานต์เฉพาะตัว เพราะเป็นเมืองโบราณที่สืบทอดประเพณีสงกรานต์กันมาหลายร้อยปีโดยเริ่มจากวันที่ 12 เมษายน ประชาชนจะทำบุญตักบาตรกันในตอนเช้า ในตอนเย็นจะมีประเพณีการขนทรายเข้าวัด และร่วมกันก่อเจดีย์ทราย ที่ตกแต่งด้วย ดอกไม้ ธงทิว พวงมะโหด ปักเท่าอายุตนเอง เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ เมื่อก่อพระทรายแล้วนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ ที่กำแพงเพชร 

เผยแพร่เมื่อ 20-02-2017 ผู้เช้าชม 1,740

วัฒนธรรมข้ามโลก

วัฒนธรรมข้ามโลก

ความรักและบุเพสันนิวาส เป็นสิ่งที่ไม่มีคำตอบและคำถาม ว่าทำไมคนสองคนที่อยู่ห่างไกลกันคนละซีกโลก จึงมีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน ได้รักกัน ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เพราะโลกไร้พรมแดนอย่างจริงจัง การที่สาวไทยไปแต่งงานกับคนต่างชาติ มีมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย พม่า กะเหรี่ยง เวียดนาม ลาว หรือชาติบ้านใกล้เรือนเคียง ปัจจุบันยุโรปและอเมริกา คนละซีกโลก แต่เพียงลัดนิ้วมือเดียว ก็ลัดฟ้ามาพบกันได้ เราจึงเรียกเขยฝรั่งเหล่านี้ว่า สานสัมพันธ์วัฒนธรรมข้ามโลก ดำเนินการโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร 

เผยแพร่เมื่อ 22-02-2017 ผู้เช้าชม 1,042

ประเพณีการเกิด

ประเพณีการเกิด

ระยะตั้งท้องผู้เป็นแม่ต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ทำให้เกิดความเชื่อถือหลายอย่าง เช่น ให้นำดอกบัวที่บูชาพระมาต้มกินจะทำให้เด็กในท้องแข็งแรง เวลามีสุริยคราสหรือจันทรคราสให้เอาเข็มมากลัดที่ชายผ้า จะทำให้เด็กเกิดมาอาการครบ 32 และให้นั่งถัดบันไดจะทำให้คลอดง่าย

เผยแพร่เมื่อ 25-02-2017 ผู้เช้าชม 7,167

ระบำพุทธบูชา-นบพระ-มาฆปุรณมี

ระบำพุทธบูชา-นบพระ-มาฆปุรณมี

ระบำพุทธบูชา-มาฆ-ปรุณมี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการแสดงในงานประเพณีนบพระ-เล่นเพลง วันเพ็ญเดือนสามหรือวันมาฆบูชา ระบำชุดนี้เป็นการแสดงความเคารพและบูชาพระรัตนตรัย นบไหว้พระซึ่งในการประกอบพิธีทางศาสนา ได้นำเพลงสาธุการมาบรรเลงในการไหว้และเคารพบูชาใช้ได้กับศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ ผู้ประพันธ์ได้นำช่วงเพลงสาธุการเปิดโลกมาประพันธ์เป็นโครงสร้างของเพลง

เผยแพร่เมื่อ 19-07-2022 ผู้เช้าชม 1,219

ประเพณีสงกรานต์ จังหวัดกำแพงเพชร

ประเพณีสงกรานต์ จังหวัดกำแพงเพชร

โดยเริ่มจากวันที่ 12 เมษายน ประชาชนจะทำบุญตักบาตรกันในตอนเช้า ในตอนเย็นจะมีประเพณีการขนทรายเข้าวัด และร่วมกันก่อเจดีย์ทราย ที่ตกแต่งด้วย ดอกไม้ ธงทิว พวงมะโหด ปักเท่าอายุตนเอง เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ เมื่อก่อพระทรายแล้วนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ ที่กำแพงเพชร นิยมก่อที่วัดบาง นำทรายจากหาดทรายแม่น้ำปิงหน้าวัดบางมาก่อพระเจดีย์ แต่ ในปัจจุบัน หาดทรายอยู่ห่างจากวัดมาก จึงใช้รถขนมา หรือซื้อมาแล้วมาก่อที่วัด อาจไม่ได้ความรู้สึกที่ดีๆ เหมือนในอดีต ที่หนุ่มสาว หาบ ขน ทราย จากหาดทราย กระเซ้าเย้าแหย่ คุยกัน เกี้ยวพาราสี กันมาตลอดทางจนถึงวัด บรรยากาศจะเป็นธรรมชาติและสนุกมาก??ซึ่งในปัจจุบันไม่เห็นมาหลายสิบปีแล้ว

เผยแพร่เมื่อ 17-04-2020 ผู้เช้าชม 1,934

การทำขวัญข้าว

การทำขวัญข้าว

ตามประเพณีไทย สิ่งที่มีบุญคุณกับคนไทยและมองไม่เห็นจะเรียกว่าแม่เสมอ เช่นน้ำเรียกกันว่า แม่คงคา พื้นดิน เรียกว่า แม่ธรณี ข้าวเรียกว่าแม่โพสพ ทุกสิ่งล้วนมีพระคุณต่อวิถีชีวิตของคนไทย มาตั้งแต่ตั้งเป็นชาติไทย ประเพณี การบูชาแม่โพสพ หรือข้าวนั้น คนไทยนิยมทำกันมาช้านานถือว่า แม่โพสพมีพระคุณกับคนไทยทั้งประเทศ เพราะข้าวนั้นเลี้ยงคนไทย แม่โพสพจึงมีความหมายอย่างลึกซึ้งและเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตคนไทยมาโดยตลอด จนเกิดประเพณี บูชาแม่โพสพ และขอขมาแม่พระโพสพ หลังการเก็บเกี่ยว

เผยแพร่เมื่อ 20-02-2017 ผู้เช้าชม 6,112

ตักบาตรข้าวต้ม

ตักบาตรข้าวต้ม

ประเพณีตักบาตรข้าวต้ม หรือ ตักบาตรข้าวต้มลูกโยน เป็นประเพณีเก่าแก่ที่ได้รับการสืบทอดต่อเนื่องกันมานานแล้ว ข้าวต้มลูกโยน เป็นอาหารหวาน ทำจากข้าวเหนียวที่นำมาผัดกับกะทิ คล้ายกับการทำข้าวต้มมัด แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก ใส่ไส้กล้วย ถั่วดำ แล้วห่อด้วยใบเตย ใบมะพร้าว หรือใบกล้วย แต่ปลายด้านหนึ่งทำเป็นกรวยม้วนพับจนหุ้มข้าวเหนียว ปล่อยชายอีกด้านหนึ่งไว้ แล้วจึงมัดด้วยตอก ก่อนนำไปนึ่งให้สุก 

เผยแพร่เมื่อ 13-03-2018 ผู้เช้าชม 2,757