ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อและข้อห้ามของหมู่บ้านวุ้งกะสัง ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร

ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อและข้อห้ามของหมู่บ้านวุ้งกะสัง ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร

เผยแพร่เมื่อ 23-09-2024 ผู้ชม 134

[16.3605706, 99.1976058, ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อและข้อห้ามของหมู่บ้านวุ้งกะสัง ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร]

บทนำ
       ชาวบ้านที่อาศัยในหมู่บ้านวุ้งกะสัง ตําบลโป่งน้ําร้อน อําเภอคลองลาน จังหวัดกําแพงเพชร มีเชื้อสายเป็นชาวไทยกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) ปัจจุบันตั้งถิ่นฐานในเขตอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า ซึ่งชุมชนบ้านกุ้งกะสัง เป็นชุมชนที่มีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นในหลายด้าน เช่น อาหาร การแต่งกาย ภาษา ความเชื่อ ประเพณี วิถีวัฒนธรรม บ้านเรือน ที่ยังคงรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของวิถีชาวกะเหรี่ยงได้อย่างดี รวมถึงมีแหล่งท่องเที่ยว ทางธรรมชาติ ที่เป็นถ้ํา น้ําตก และต้นมะเดื่อยักษ์ ชุมชนบ้านกุ้งกะสัง เป็นชุมชนยังคงรักษาประเพณี ความเชื่อ การแต่งกาย ภาษา อาหาร วิถีวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงแบบดั้งเดิม ซึ่งมีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น และ ในปัจจุบันก็ยังคงปฏิบัติกันอยู่ และสามารถนําอัตลักษณ์ที่เป็นวิถีวัฒนธรรมของชุมชนไปเผยแพร่ ในด้านการ ส่งเสริมการท่องเที่ยวของชุมชนได้ ทําให้ประชาชนมีงานและรายได้จากการท่องเที่ยวของชุมชน เพื่อให้เข้าใจ วิถีชีวิตประเพณี ความเชื่อ และข้อห้ามหรือค่านิยมต่าง ๆ ภายในชุมชนชาวไทยกะเหรี่ยง(กุ้งกะสัง) ผู้เขียนจึง ขอนําเสนอประเพณีการเกิด การแต่งงาน รวมไปถึงประเพณีและพิธีกรรมอื่น ๆ ที่น่าในสนใจของชาวบ้านวุ้งกะสัง

ข้อมูลทั่วไปของชุมชน
       หมู่บ้านรุ้งกะสังตั้งอยู่ที่ ตําบลโป่งน้ําร้อน อําเภอคลองลาน จังหวัดกําแพงเพชร ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็น ชาวปกากะญอ หรือคนทั่วไปเรียกว่า ชาวกะเหรี่ยง ชาวกะเหรี่ยงอาศัยตัวอยู่ในหุบเขามามากว่า 200 ปี หมู่บ้านวุ้งกระสัง เดิมชาวปกากะญอที่วุ้งกระสั่งเรียกตัวเองว่า “ทีลอซู โวซะโกร” หมายความว่า น้ําตก คลอง วุ้งกระสัง ช่วยหล่อเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านวุ้งกระสัง นับได้ว่าวุ้งกระสั่งเป็นหมู่บ้านที่ยังคงรักษาวิถีเดิมๆ ไม่เปลี่ยนแปลงมากว่าร้อยปีด้านประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ และข้อห้ามต่างๆ ของหมู่บ้านรุ้งกะสังชน นั้นมีควบคู่ไปกับการนับถือผี ของชาวบ้าน เช่นเดียวกับชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่อื่น ๆ โดยเฉพาะการนับถือเรื่องผีวิญญาณและสิ่งเหนือ ธรรมชาติ ส่วนใหญ่มีความโดยเชื่อว่าผีเป็นผู้ดูแล กํากับพฤติกรรมทุกอย่างตั้งแต่เกิด เช่น ผีบ้านผีเรือน เป็นผี ประจําบ้านเรือน ผีวิญญาณของปู่ ย่า ตา ยายที่วนเวียนภายในบ้านคอยป้องกันรักษาบุตรหลานให้อยู่อย่าง สงบสุข ส่วนผีบ้านเป็นผีหรือ เทพารักษ์รักษาหมู่บ้าน บางที่เรียกว่า ผีเจ้าเมือง หรือผีเจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขา ผีฝาย ผีนา ซึ่งมี ความสําคัญมากโดยเฉพาะในพิธีกรรมเกี่ยวกับการเกษตร การดํารงชีพและพิธีกรรมเกี่ยวกับ ความอยู่ดีมีสุขของคนในหมู่บ้าน เป็นต้น (มะลี ทองคํา, การสัมภาษณ์, 14 ธันวาคม 2565)

ประเพณี ความเชื่อและพิธีกรรมในชุมชนหมู่บ้านรุ้งกะสัง
       1. ประเพณีการเกิด
       เมื่อสตรีกะเหรี่ยงตั้งครรภ์ ก็จะต้องปฏิบัติอย่างระมัดระวังตั้งอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้คลอดบุตรยาก เป็นอันตรายแก่แม่และเด็ก อาหารเป็นเรื่องสําคัญ หญิงมีครรภ์ต้องไม่รับประทานอาหาร ที่ไม่คุ้นเคยหรือที่ คนอื่นทํามาขาย การดื่มเหล้า เชื่อว่าจะทําให้แท้งและการกินขนุนจะทําให้ทารกในครรภ์เกิดมาเป็นโรคผิวหนัง นอกจากนี้นั้นยังห้ามหญิงมีครรภ์ไปงานศพ เพราะวิญญาณผู้ตาย ไปสู่โลกได้ง่ายๆ หากเผอิญไปเห็นศพหรือ คนตายเข้า ก็จะต้องทําพิธีเรียกขวัญกันอย่างด่วน และคนในหมู่บ้านก็จะช่วยกันระมัดระวังมิให้เกิดเหตุการณ์ใดๆ มารังควานหญิงมีครรภ์ เช่นไม่ล้มต้นไม้ขวางทางเดินไว้ เพราะจะทําให้ผู้ไปพบคลอดบุตรยาก ต้องปัดรังควาน หรือขอขมากันด้วยไก่หนึ่งตัว (มะลี ทองคํา, การสัมภาษณ์, 14 ธันวาคม 2565)
       การดูแลรักษาสุขภาพของหญิงกะเหรี่ยงตั้งครรภ์ในด้านการดูแลสุขภาพให้มีความแข็งแรงนั้น ได้รับ การถ่ายทอดองค์ความรู้จากบรรพบุรุษเดิมเช่นเดียวกับเผ่าอื่นๆ คือเริ่มตั้งแต่เด็กที่อยู่ในท้อง มารดาจนถึงวัย ชราภาพ ซึ่งจะเห็นได้จากจะมีข้อห้ามและข้อพึงปฏิบัติทั้งบิดาและมารดาเช่น ห้ามกินตัวอ่อนของตัวต่อ ห้ามกินอาหารที่มียาง เช่น เผือก ขนุน ห้ามกินเนื้อหมูป่าและสัตว์ที่ถูกเสือกัดตาย ห้ามนอนหลับมากเกินไป และทํางานหนักเกินไป
       นอกจากนั้น สตรีกะเหรี่ยงตั้งครรภ์จะต้องกินผักบํารุงร่างกาย รักษาความสะอาด ทํางานให้พอเหมาะ และรักษาอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ การคลอดตามปกติหญิงกะเหรี่ยงจะให้กําเนิดทารก ในบ้านของตนเองโดยมี สามี มารดา และ ญาติอื่น ๆ คอยช่วยเหลือ เวลาคลอดจะนั่งชันเข่าบนพื้นโดยโหนผ้าซึ่งผูกห้อยลงมาจากขอ ช่วยนวดดันทารกออกจากครรภ์ขณะที่เธอเบ่งอยู่นั้น เมื่อทารกพ้นออกจากครรภ์ เขาจะตัดสายสะดือด้วยผิว ไม้ไผ่และห่อรกด้วยผ้าบรรจุลงในกระบอกไม้ไผ่ จากนั้นจะให้พ่อของเด็กนําสะดือที่อยู่ในกระบอกไม้ไผ่ ไปแขวนไว้บนต้นไม้ในป่า ต้นไม้ต้นนี้เรียกว่า "ป่าเดปอ" เป็นต้นไม้ที่ใช้เก็บขวัญเด็ก ห้ามตัดต้นไม้ต้นนี้เพราะ จะทําให้เด็กล้มป่วย หรือถึงแก่ชีวิตได้ ถ้ามีคนไม่รู้และไปตัดต้นไม้ต้นนั้น จะต้องทําการเรียกขวัญเด็กทันที โดยตามผู้เชี่ยวชาญมาประกอบพิธีสวดทําน้ํามนต์รดทั่วตัวมารดา เสร็จแล้วสามี หรือบิดาของเธอจะทําพิธี เรียกขวัญให้มารดาและเด็ก เมื่อเด็กครบเดือนจึงจะทําพิธีตั้งชื่อ พ่อแม่จะผูกข้อมือเด็กและเจาะหู เพื่อแสดง ว่าทารกนี้เป็นคนมิใช่วานร แล้วกล่าว "บัดนี้เจ้าเป็นคนแล้ว" หากเด็ก ล้มป่วยลงหลังจากคลอดออกมาเพียง ไม่กี่วัน พ่อแม่ก็จะไปที่ฝังรกเด็กแล้วเรียกขวัญให้กลับเข้าร่าง หากป่วยเมื่ออายุมากกว่าสองสัปดาห์ขึ้นไป ก็จะต้องเซ่นผีด้วยไก่เพื่อซื้อวิญญาณเด็ก เมื่อขึ้นบ้านก็จะเคาะบันไดล่วงหน้าขึ้นไป แล้วรีบเข้าบ้านเพื่อดู ให้แน่ใจว่าวิญญาณได้เข้าร่างเด็กแล้ว พิธีเรียกขวัญนี้คือพิธีผูกขวัญครั้งแรกของบุคคลผู้นี้ที่เกิดมาลืมตาอยู่ บนโลก คนกะเหรี่ยงเชื่อว่าขวัญของคนมีอยู่ 37 ขวัญที่อยู่ในรูปของสัตว์ชนิดต่าง ๆ การผูกขวัญครั้งแรกของ ทารกนี้ก็จะทําให้ทารกได้รับขวัญที่ 37 ขวัญนี้ โดยครบถ้วน ซึ่งได้แก่
       1. ขวัญหัวใจ
       2. ขวัญมือซ้าย
       3. ขวัญมือขวา
       4. ขวัญเท้าซ้าย
       5. ขวัญเท้าขวา
       6. ขวัญหอย
       7. ขวัญปู
       8. ขวัญปลา
       9. ขวัญเขียด
       10. ขวัญแย้
       11. ขวัญจิ้งหรีด
       12. ขวัญตั๊กแตน
       13. ขวัญตุ๊กแก
       14. ขวัญแมงมุม
       15. ขวัญนก
       16. ขวัญหนู
       17. ขวัญชะนี
       18. ขวัญหมูป่า
       19. ขวัญไก่ป่า
       20. ขวัญเก่ง
       21. ขวัญกวาง
       22. ขวัญสิงห์
       23. ขวัญเสือ
       24. ขวัญช้าง
       25. ขวัญข้าว
       26. ขวัญง
       27. ขวัญตุ่น
       28. ขวัญเม่น
       29. ขวัญเลียงผา
       30. ขวัญแรด
       31. ขวัญเต่า
       32. ขวัญตะกวด
       33. ขวัญกุ้ง
       34. ขวัญอีเห็น
       35. ขวัญกระทิง
       36. ขวัญต่อ
       37. ขวัญนกแก๊กนกแกง (Widebase, 2549)
       แต่เมื่อคลอดเรียบร้อยแล้ว มารดาก็จะต้องนั่งอยู่ไฟสามวันก่อนจะออกจากบ้าน หญิงที่พึ่งคลอด จะไม่สามารถนอนราบลงไปได้ เพราะเชื่อกันว่าจะทําให้โลหิตขึ้นสมองตาย บางรายก็จะนั่งกอดหินซึ่งเผาไฟร้อน แล้วห่อผ้าแนบท้องไว้ ระหว่างนี้อาหารที่กินได้ คือ ข้าวกับน้ําเปล่าหรือข้าวต้มเท่านั้น วันหลังคลอดมารดา จะเคี้ยวข้าวผสมกับเกลือและน้ําจนละเอียดแล้วป้อนให้เด็กเป็นพิธี เมื่อสายสะดือเด็กหลุดก็จะทําพิธีผูก ข้อมือเด็ก และผูกคอ ด้วยสร้อยกรวดเป็นการอวยพรให้แข็งแรงโตเร็ว
       ปัจจุบัน แม้ว่าความเจริญเริ่มเข้าสู่ชนบทการพัฒนาเริ่มเกิดขึ้น จึงทําให้ความเชื่อ วัฒนธรรมต่าง ๆ เริ่มลดน้อยลงไป ส่วนใหญ่กะเหรี่ยงในสมัยนี้จะนิยมไปคลอดบุตรในโรงพยาบาล เพราะถือว่าสะดวกสบาย ไม่วุ่นวายเหมือนแต่ก่อน ยิ่งมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามายิ่งทําให้เข้ามา คลอดบุตรในเมืองกันมากขึ้นจนมาถึง ทุกวันนี้ (มะลี ทองคํา, การสัมภาษณ์, 14 ธันวาคม 2565)

2. ประเพณีแต่งงาน
       ประเพณีแต่งงานของชาวไทยกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) ในหมู่บ้านรุ้งกะสังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “อ่อ มุ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วชาวไทยกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) ในหมู่บ้านรุ้งกะสังไม่มีการกําหนดช่วงเวลาในการจัดงานที่ตายตัว แต่มักจะนิยมแต่งงานในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ โดยหนุ่มและสาวกะเหรี่ยง มักมีโอกาสพบปะสนทนากัน ในตอนกลางคืน หนุ่มกะเหรี่ยงจะไปหาสาวที่บ้าน และนั่งสนทนากันบนบ้านซึ่งอาจเป็นนอกห้องหรือในห้อง ส่วนใหญ่จะเป็นในห้อง เพราะมีเตาไฟที่ให้แสงสว่างอยู่กลางห้อง เนื่องจากบ้านของกะเหรี่ยงมีห้องเพียงห้องเดียว ในขณะที่สนทนากัน พ่อแม่ก็จะนอนอยู่ใกล้เตาไฟนั่นเอง นอกจากที่บ้านของหญิงสาวแล้ว โอกาสที่หนุ่มสาว กะเหรี่ยง จะได้พบกันก็คือ ในงานศพเวลากลางคืนพวกหนุ่มสาว จะเดินรอบ ๆ ศพ และกอดคอกันร้องเพลง (ระหว่างหญิงกับหญิง หรือชายกับชาย ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงห้ามกอดคอกันเด็ดขาด) เพื่ออวยพรให้ผู้ตาย ไปสู่ที่ชอบๆ โอกาสนี้เป็นโอกาสที่หนุ่มสาวจะได้ใกล้ชิดและสนิทสนมกันมากขึ้น การร้องเพลงในงานศพนี้ ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายจะโต้ตอบบทเพลงกันและกันอย่างสนุกสนาน
       หากหนุ่มสาวได้เสียกันก่อนแต่งงาน ก็จะต้องมีการขอขมาต่อผีเจ้าที่ ซึ่งเป็นผีบ้านไม่ใช่ผีเรือนและให้มีการขอขมาต่อผู้เฒ่า รวมทั้งหัวหน้าหมู่บ้านและหมอผีด้วย วันต่อมาจึงจะจัดให้มีการแต่งงานกัน พิธีการ แต่งงานของหนุ่มสาวที่ได้เสียกันก่อนแต่งงานจะไม่มีงานสนุกสนานรื่นเริงเหมือนงานแต่งที่เป็นหนุ่มสาวบริสุทธิ์ แต่ทําพอเป็นพิธีเท่านั้นกะเหรี่ยงหนุ่มสาวที่บริสุทธิ์ จะไม่ยอมไปร่วมในพิธีด้วย เพราะเกรงว่าจะเอาตัวอย่าง เหล่านี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีมาใช้ และถือว่าเป็นการผิดประเพณีกะเหรี่ยงทําให้วงศ์ตระกูลเกิดเรื่องน่าละอาย ถ้าหนุ่มสาว คู่ที่ได้เสียกันไม่ใช่หนุ่มสาวหรือสาวโสด ก็จะต้องถูกปรับเป็นเงินและสัตว์เลี้ยงได้แก่ หมู ไก่ และควาย เป็นต้น (บ้านจอมยุทธ, ม.ป.ป.)

หลักพิธีแต่งงานของชาวไทยกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) ในหมู่บ้านรุ้งกะสัง
        เริ่มด้วยการให้ผู้เฒ่าผู้แก่มาทาบทามเพื่อถามความสมัครใจทั้งสองคนก่อน จากนั้นจะเป็นการสู่ขอโดย ฝ่ายหญิงได้ให้ผู้อาวุโสชาย 2 คนไปหาฝ่ายชาย (ประเพณีการสู่ขอของกะเหรี่ยงผู้หญิงจะเป็นผู้สู่ขอผู้ชาย) หลังจากยินยอมตกลงกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ได้นัดหมายกันว่า อีกเจ็ดวันจะทําพิธีแต่งงาน (การกําหนดวันแต่งงาน ซึ่งจะจัดขึ้นภายใน 7-9 วัน หลังจาก วันสู่ขอและต้องเป็นวันที่คี่ เช่น วันที่ 3 วันที่ 5 วันที่ 7 หรือวันที่ 9 หลังจากการสู่ขอ จะเป็นวันไหนก็ใช้วิธีปักกระดูกไก่ดูเอา เมื่อกําหนดวันแล้วก็บอกไปยังญาติมิตรทั้งหลาย จะได้เตรียมตัวช่วยเหลือ เช่น เตรียมหมู ไก่ หรือเหล้าสําหรับใช้ในพิธีแต่งงาน) เมื่อฝ่ายชายเต็มใจรับการสู่ขอ ก็จะมีผู้อาวุโสชายฝ่ายชาย 2 คนและหนุ่มโสด 1 คน ที่ไม่ใช่พี่น้องของเจ้าบ่าว รับการสู่ขอเพื่อนัดหมาย วันแต่งงาน ชายหนุ่มโสดคนนี้จะเป็นตัวประกันในการแต่งงาน หากเจ้าบ่าวตัวจริงเกิดขัดข้องด้วยเหตุใดก็ตาม ชายหนุ่มคนนี้จะต้องแต่งงานแทนเจ้าบ่าวตัวจริง ณ บ้านฝ่ายหญิงก็จะมีการฆ่าไก่เพื่อต้มหรือแกงและมีการ เตรียมเหล้าเลี้ยง เพื่อเป็นการยืนยันว่าจะไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบิดพลิ้ว ฝ่ายนั้น จะหาคู่ครองยาก เพราะไม่มีสัจจะในวันแต่งงาน ฝ่ายชายจัดขบวนแห่ซึ่งมีการร้องทําเพลง ตีฆ้องกลองกันอย่างสนุกสนาน เดินไปบ้าน เจ้าสาว ทุกคนแต่งกายแบบกะเหรี่ยง เจ้าบ่าวจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ ในขบวนแห่ เจ้าบ่าว ต้องเตรียม สิ่งของใส่ตะกร้า แล้วให้หญิงอาวุโสพาดไป การพาดก็คือ การใช้สายคล้องสะพายอยู่ ตรงหน้าผากและตะกร้า อยู่ข้างหลัง ในตะกร้าจะมีของมีเครื่องมือ เช่น พร้า จอบเสียม เงินก้อน โบราณ เงินเหรียญซึ่งเป็นโลหะเงิน ผ้า โพกศีรษะ เสื้อและผ้านุ่งใหม่ของแม่บ้าน เป็นต้น ฝ่ายเจ้าสาว จะจัดขบวนที่มีแต่ผู้ชายไปรับและนําเข้ามาใน บ้าน ในขบวนของแต่ละฝ่ายจะมีผู้ร่ายเวทย์มนต์คาถา ไปด้วย (บ้านจอมยุทธ, ม.ป.ป.)
        เมื่อขบวนเจ้าบ่าวไปถึงลานบ้านเจ้าสาว จะมีพิธีดื่มเหล้า โดยเจ้าสาวเอาเหล้าที่เป็นเหล้าขวดแรกจาก การต้มกลั่นครั้งแรก ซึ่งเรียกว่า "ซิโข” หมายถึงหัวเหล้า แก้วสุดท้ายเรียกว่า ” ซิค” หมายถึงก้นเหล้า (เรียกพิธีกรรมนี้ว่า “แควะ ซิ” หมายถึง พิธีหัวเหล้าและก้นเหล้า) เพื่อรินให้เจ้าบ่าว 1 แก้ว เจ้าบ่าวจะส่งให้ หัวหน้าผู้รอบรู้เวทย์มนต์คาถาอาคม ทําการเสกเป่าและอวยพรให้อยู่ดีมีสุข เสร็จแล้ว หัวหน้าจะรินเหล้า ลงพื้นดินนิดหน่อย แล้วจะส่งกลับให้เจ้าบ่าวดื่มจนหมด สุราที่เหลือในขวดก็ส่ง ให้ญาติพี่น้องดื่มกันจนหมด จากนั้นฝ่ายเจ้าบ่าวก็รินเหล้าของตนให้เจ้าสาวและทําพิธีเช่นเดียวกัน เมื่อทําพิธีดมเหล้าแล้ว พิธีต่อไปคือ พิธีขึ้นบ้าน ขณะขึ้นถึงหัวบันไดบ้านจะมีญาติอาวุโสฝ่ายหญิงเอาน้ําเย็นราดลงบนเท้าของคู่บ่าวสาวเพื่อล้าง เสนียดจัญไร พร้อมกล่าวคําอวยพร และจะมีการรดน้ําที่เท้าให้แก่ผู้ที่ตามมาทุกคน จากนั้นทํา พิธีป้อนข้าว โดยเจ้าสาวเอาข้าวและอาหารใส่ถ้วยเล็ก ๆ เพื่อให้เจ้าบ่าวกินให้หมดในหนึ่งคํา จากนั้นญาติของทั้งสองฝ่าย ก็จะทําแบบเดียวกัน แล้วจึงรับประทานอาหารกันตามปกติ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พรรคพวกของ ทั้งสองฝ่ายจะดื่มเหล้า และร้องเพลงของเผ่า ตามบ้านญาติพี่น้องของเจ้าสาว แล้วหัวหน้าทั้งสองฝ่ายต่างอวยพร ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาว (บ้านจอมยุทธ, ม.ป.ป.)
        ประเพณีของกะเหรี่ยงถือว่าข้าวเป็นชีวิต จึงให้ความสําคัญกับเหล้าที่ทํามาจากข้าวสําหรับทําพิธีกรรมทุก พิธีกรรม โดยเฉพาะในพิธีดื่มเหล่าเจ้าสาวจะนําสายกระพวนมาคล้องคอเจ้าบ่าว และนําบุหรี่สองมวน มาให้ มวนที่หนึ่งจุดไฟให้เจ้าบ่าว มวนที่สองให้เจ้าบ่าวถือไว้ในมือ จากนั้นเจ้าสาวจะแจกสายกระพวนแก่ เพื่อนบ้านที่มากับเจ้าบ่าว ระหว่างพิธีดื่มหัวเหล้า ก้นเหล้า คนอื่น ๆ ก็ดื่มเหล้าด้วย พร้อมกับขับลํานําโต้ตอบ กันอย่างสนุกสนาน เจ้าบ่าวกับแขกผู้มาเยือนจะรับเนื้อหาลํานําเป็นการถามไถ่กัน ถึงการเดินทางว่า เป็นอย่างไรบ้าง มีความทุกข์ยากลําบากใจอะไรบ้างไหม เจอะเจอกับอะไรบ้าง หลังจากนั้นจึงแยกย้ายกัน ในส่วนของเจ้าบ่าวนั้นคืนแรกเจ้าบ่าวจะไปนอนบ้านอีกหลังหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บ้านเจ้าสาวแต่อาจบ้านของหัวหน้า ผู้มาขอนัดวันแต่งงานเจ้าบ่าวสาวหรืออาจจะไม่ได้นอน เพราะต้องไปกับผู้ใหญ่ซึ่งขับเสียงลํานําโต้ตอบกันทั้งคืน วันรุ่งขึ้นผู้ชายฝ่ายเจ้าสาวมารับเจ้าบ่าวเพื่อไปยังบ้านเจ้าสาว เพราะมีพิธีอีกขั้นตอนหนึ่งคือ พิธีการผูกข้อมือ โดยในพิธีจะให้เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวนั่งลงใกล้กันและใกล้ขันโตก ผู้อาวุโสคนหนึ่งในหมู่บ้านนําด้ายขาวสองเส้น ผูกข้อมือ เจ้าบ่าวก่อนแล้วผูกข้อมือเจ้าสาวต่อ ขณะผูกข้อมือท่านผู้อาวุโสจะอธิษฐานอวยพรแก่เจ้าบ่าวและ เจ้าสาว จากนั้นแม่เจ้าสาวจะรินหัวเหล้าให้เจ้าบ่าวดื่มและก้นเหล้าให้เจ้าสาวดื่ม จากนั้นเจ้าบ่าวเจ้าสาวพร้อมกับพ่อแม่ญาติพี่น้องก็ลงมือกินข้าว เพื่อนบ้านของเจ้าบ่าวก็ขึ้นมากินข้าวในเวลานั้นด้วย เมื่อทุกคนกินข้าวอิ่มแล้ว เพื่อนบ้านของเจ้าบ่าวพากันกลับบ้าน ส่วนเจ้าบ่าวต้องนอนที่หมู่บ้านนี้อีกหนึ่งคืน ตกกลางคืนเจ้าสาวจะต้อง เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดแม่บ้านสีดําใหม่เอี่ยมที่ เรียกว่า “เชซู” (คือผ้าเสื้อท่อนบนของชุดแม่บ้านผู้ออกเหย้า ออกเรือนแล้ว หมายถึงเสื้อดํา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่า “เซเบอะ” หมายถึงเสื้อปักลูกเดือย ที่เรียกว่า เสื้อดําและเสื้อปักลูกเดือย เพราะ ท่อนล่างยังมีอีกเรียกว่า “หนี่หรือซิ่น” เป็นพื้นสีแดงและมีลายมัดหมี่ตัดขวาง ตลอดทั้งผืน) ส่วนเจ้าบ่าวนั้นต้องใส่เสื้อแดงที่เรียกว่า “เซก้อ” ซึ่งเจ้าสาวเป็นผู้ทอให้เจ้าบ่าวยื่นให้เจ้าบ่าว ด้วยมือของเจ้าสาวเอง (เชคือ หมายถึงเสื้อผู้ชายเป็นผ้าสีแดง คํานี้มีความหมายสวยสดงดงามและมีความ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง) เวลานี้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างอยู่ในชุดแต่งงานรอเวลาพิธีส่งเข้าเรือนหอต่อไป ค่ําคืนนี้ยังมี ข้าวเย็นอีกมื้อหนึ่ง ซึ่งญาติเจ้าสาวไปเชิญชวนผู้อาวุโส 3-4 ท่าน ที่นําทางเจ้าบ่าวไปเยี่ยมตามบ้านต่าง ๆ เมื่อตอนกลางวันให้มากินข้าวด้วย เพื่อมาเป็นพยานในการส่งเจ้าสาวเจ้าบ่าวสู่เรือนหอ ทุกคนกินข้าวพร้อมกัน ดื่มเหล้าเสร็จจึงแยกย้ายกัน หลังจากเจ้าสาวเจ้าบ่าวดื่มเหล้าและรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เจ้าสาวจะเปลี่ยน เครื่องแต่งกายให้เจ้าบ่าว ใหม่ จากนั้นหัวหน้าฝ่ายเจ้าบ่าวจะแจกของในตะกร้า ที่นํามาให้ญาติอาวุโสซึ่งเป็น หัวหน้าครอบครัว ของเจ้าสาว ส่วนเงินหล่อแท่งเก็บเอาไว้เป็นของประจําตระกูลต่อไปเป็นอันเสร็จพิธีการ แต่งงานที่บ้านเจ้าสาว
        ชาวกะเหรี่ยงนิยมจัดงานแต่งงาน 2 วัน วันที่สองจะทําพิธีที่บ้านเจ้าบ่าว วันแรกเจ้าสาวยังไม่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายชุดขาวทรงกระสอบที่แสดงความเป็นสาวพรหมจารีย์ แต่จะไปเปลี่ยนเป็นนุ่ง ผ้าถุงและสวมเสื้อ สําหรับหญิงมีเรือนในวันรุ่งขึ้น พิธีในวันที่สองดําเนินไปในลักษณะเดียวกับวันแรก เช่น หญิงอาวุโสฝ่ายหญิง จะเตรียมของใส่ตะกร้าร่วมขบวนแห่ไปยังบ้านเจ้าบ่าว เป็นต้น สองคืนกับ หนึ่งวันที่ค้างอยู่ที่บ้านเจ้าสาว วันนี้ เจ้าบ่าวและเจ้าสาวต้องกลับไปยังบ้านเจ้าบ่าวพร้อมกับเพื่อนบ้าน ที่เป็นฝ่ายเจ้าสาวเป็นพยาน เมื่อรวมกันที่ บ้านเจ้าสาวแล้ว จากนั้นออกเดินทางไปยังหมู่บ้านเจ้าบ่าว เมื่อถึงบ้านเจ้าบ่าวก็จะมีเพื่อนบ้านรอรับ เพื่อมาทํา พิธีกันในฝ่ายของเจ้าบ่าวต่อ พ่อแม่ของเจ้าบ่าวยืนรอลูกชายและลูกสะใภ้ใหม่ที่เชิงบันได ในมือถือกระบอกไม้ไผ่ ตักน้ําคนละกระบอก มีก้อนหิน 1 ก้อน วางอยู่ข้างหน้าให้ลูกชายกับลูกสะใภ้เหยียบบนก้อนหิน เจ้าบ่าวเหยียบ เท้าขวาเจ้าสาวเหยียบเท้าซ้าย พ่อแม่เทน้ําลงไปบนเท้าของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว พร้อมกับอธิษฐานว่า “มีแรงกิน มีแรงทํา มีอายุยืนดั่ง ก้อนหิน มีความร่มเย็นดั่งน้ํา อย่าได้เจอะเจอกับความทุกข์ยากลําบากใจเลย” จากนั้น จึงขึ้นบนบ้าน รินเหล้าให้ผู้อาวุโสของหมู่บ้านและท่านก็อธิษฐานอวยพรให้ ตกตอนกลางคืนก็มีเสียงร้องเพลง กะเหรี่ยงขับลํานําโต้ตอบกันดังระงมทั้งหมู่บ้านระหว่างแขกฝ่ายเจ้าสาวกับฝ่ายเจ้าบ่าวที่หมู่บ้านของเจ้าบ่าวพิธีกรรมทั้งหมดอยู่ที่บ้านฝ่ายเจ้าสาว เพราะตามวัฒนธรรมกะเหรี่ยงพิธีกรรมภายในบ้านจะเป็นของ ผู้หญิง วันรุ่งขึ้นมีการเลี้ยงอาหารแขกและเพื่อนบ้านอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นเพื่อนบ้านของเจ้าสาวต่างพากันกลับบ้านในพิธีแต่งงานเจ้าสาวจะต้องแสดงฝีมือในการต้มและกลั่นเหล้าให้บิดามารดาฝ่ายเจ้าบ่าวดื่ม โดยเจ้าสาวยังค้าง อยู่ที่หมู่บ้านเจ้าบ่าวอีกประมาณ 7 วัน ตามประเพณีกะเหรี่ยง สิ่งที่ลูกสะใภ้ต้องทําให้กับพ่อแม่สามีอันดับแรก คือการต้มเหล้า ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์ว่า ลูกสะใภ้เก่งกาจในหน้าที่ของสตรีหรือไม่ เมื่อเจ้าสาวต้มเหล้าเสร็จแล้ว พ่อแม่เจ้าบ่าวก็เรียกญาติพี่น้อง ทุกคนมาร่วมกันดื่มและแสดงความคิดเห็น เช่น เหล้ามีรสชาติดีและอร่อย กล่าวชมเชยในฝีมือของเจ้าสาว เพราะนี่แสดงถึงนิมิตหมายอันดีที่ชีวิตครอบครัวของเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะมีแต่ ความราบรื่นและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ในวันที่ 8 เขาทั้งสองคนต้อง กลับไปยังหมู่บ้านเจ้าสาว (ผู้ชาย กะเหรี่ยงเมื่อแต่งงานแล้ว ต้องไปอยู่อาศัยบ้านผู้หญิง) ก่อนกลับแม่เจ้าบ่าวจะเตรียมกระชุหนึ่งใบให้ลูกสะใภ้ ใหม่แบกกลับไปด้วย ข้างในบรรจุเสื้อผ้าซึ่งเป็นชุดแม่บ้านหลายชุดด้วยกัน เป็นของที่แม่สามีต้องให้กับสะใภ้ ตามประเพณี เมื่อกลับไปหมู่บ้านเจ้าสาว สิ่งที่ลูกเขยและลูกสาวจะต้องทําร่วมกัน คือการไปหาของกินด้วยกัน การออกไปหาของกินด้วยกันครั้งแรก เรียกว่า “มือ เอาะ ชุ ตา” การไปหาของกินร่วมกันครั้งแรกต้องมีสามีภรรยาหนึ่งคู่ไปเป็นพี่เลี้ยง ไม่เช่นนั้นจะถือว่าไม่ดี การไปหาของกินจะไปหาที่ห้วยหรือแม่น้ําที่ไม่ไกลจาก หมู่บ้านมากนัก เมื่อได้กุ้ง ปู ปลามาแล้ว คนทําอาหารจะนําหินก้อนเท่าหัวแม่มือสองก้อนใส่หม้อลงไปด้วย ซึ่งชาวกะเหรี่ยงเชื่อกันว่า การทําเช่นนี้เป็นการอวยพรเจ้าบ่าวเจ้าสาวทั้งสองให้มีอายุยืนดั่งก้อนหินสองก้อนนี้ และร่วมกันกินข้าว เจ้าสาวเก็บจะเก็บก้อนหินไว้อย่างดี หากก้อนหินนั้นหายก็ให้มันหายขอให้มันหายมันเอง นี่เป็นธรรมเนียม ประเพณีขั้นสุดท้ายสําหรับการแต่งงาน คนกะเหรี่ยงถือว่าชีวิตแต่งงานสําคัญมาก จึงมีขั้นตอน ธรรมเนียมประเพณีมากมายและใช้เวลายาวนาน พิธีการแต่งงานที่สมบูรณ์แบบของกะเหรี่ยง สําหรับบางคนนั้น ต้องใช้เวลานานถึง 14-21 วัน คือนับตั้งแต่การไปสู่ขอจนถึงการไปหาของกินร่วมกันครั้งแรก (บ้านจอมยุทธ, ม.ป.ป.)

ความสําคัญของประเพณีแต่งงาน
       การแต่งงานสําหรับชาวกะเหรี่ยงนั้น คือความหวังสูงสุดที่หนุ่มสาวกะเหรี่ยงรอคอย โดยการแต่งงาน นั้นเกิดจากความรักความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย เมื่อตกลงที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันก็จะส่งเฒ่าแก่ไปทาบทาม ชาวกะเหรี่ยงมีความเคร่งครัดเรื่องการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียว และมีการหย่าร้างเกิดขึ้นน้อยมาก หากหญิงสาวคนไหนที่ให้กําเนิดบุตรนอกสมรส หรือยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานจะถูกคนในสังคมกะเหรี่ยงรังเกียจและต้องทําพิธีขอขมาผีและชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่าผู้นั้นจะประสบความลําบากและหาคู่ครองยากหรืออาจไม่มีคู่ครอง (เสาวลักษณ์ กาญจนธนสิน, 2559)
       ประเพณีแต่งงาน เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์และสําคัญ นิยมแต่งในเดือนกุมภาพันธ์และห้ามแต่งในเดือน เมษายน “ในอดีตฝ่ายหญิงต้องไปขอฝ่ายชาย โดยมีพ่อสื่อไปสู่ขอด้วยเงินสินสอด 1 บาท 50 สตางค์ ผู้ชาย เตรียมผ้าเช็ดหน้า 1 ผืนและของขวัญเป็นการตอบแทน ปัจจุบันในหมู่บ้านรุ้งกะสังฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ออกค่าสินสอดกันคนละครึ่ง บางครอบครัวไม่มีค่าสินสอด แต่มีค่าอาหารหารเลี้ยงแขก หมู ไก่ ช่วยกันออก ทั้งสองฝ่าย (มะลี ทองคํา, การสัมภาษณ์, 14 ธันวาคม 2565)
        นอกจากความเชื่อทั้งในเรื่องของการเกิด การแต่งงาน การดําเนินชีวิตต่าง ๆ ของชาวกะเหรี่ยงนั้น ชาวกะเหรี่ยงยังมีความเชื่อและข้อห้ามอื่น ๆ อีก

3. ความเชื่อ และข้อห้าม
        ความเชื่อ
        1. ศาลหน้าหมู่บ้านวุ้นกะสัง เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนที่ผ่านไปมาต้องกราบไหว้ หรือบีบแตรรถ เพื่อแสดงความเคารพ หากผู้ใดลบหลู่หรือล่วงเกินจะมีอันเป็นไป
        2. ในเดือน 3 ขึ้น 3 ค่ํา แต่ละบ้านในหมู่บ้านต้องนําไก่ ข้าวเหนียว เหล้า มารวมกันแล้วนําไป เลี้ยงศาลเจ้า เพื่อเป็นแก้บน ขอขมา และให้คุ้มครองทุกคนในหมู่บ้าน
        3. เวลาเข้าป่าทุกครั้งจะต้องขอเจ้าป่าเจ้าเขาให้คุ้มครองเราและห้ามมิให้เอาถ้วยหรือช้อน ตักน้ําจากลําธารมาดื่ม เพราะจะเห็นเสือหรือมีกิ่งไม้ตกมา
        4. อาหารจําพวกนก ไก่ ปลา ที่เอาไปย่าง ก่อนจะกินต้องเอาออกจากไม้เสียบมาวางไว้ในถ้วยจานให้เรียบร้อย ฟืนในกองไฟต้องเอาออกให้หมด ถึงจะรับประทานได้ ถ้าไม่ทําเช่นนี้มีความเชื่อว่าจะเห็นเสือหรือสิ่งเหนือธรรมชาติ (มะลี ทองคํา, การสัมภาษณ์, 14 ธันวาคม 2565)
        5. การแต่งกาย
              5.1 เด็กหญิงและหญิงสาวพรหมจรรย์จะแต่งกายเป็นชุดทรงกระบอกสีขาวเป็นสัญลักษณ์ แห่งความบริสุทธิ์สาวโสดยังไม่ได้แต่งงานตามจารีตของปกาเกอญอผู้ที่ยังมิได้แต่งงานจะสวมชุดขาว และไม่สามารถที่จะไปแต่งชุดสตรีที่แต่งงานแล้วได้เด็ดขาด หากมีหนุ่ม-สาวประพฤติผิดประเวณีก่อนแต่งงาน ผู้อาวุโสจะรีบจัดการให้มีการทําพิธีขอขมาเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ หรือเรียกกันว่า “ต่าที่ตาเต๊าะ” แล้วจัดการให้แต่งงานโดยเร็วที่สุดมิเช่นนั้นคนในชุมชนจะเกิดล้มป่วยไม่สบาย หรือทํามาหากินไม่ขึ้น ไม่ได้ผล สัตว์เลี้ยงจะล้มตาย เป็นต้น
              5.2 การแต่งกายด้วยชุดขาวจะสิ้นสุดลงเมื่อแต่งงาน หญิงอยู่ในสถานภาพแต่งงานแล้ว จะแต่งตัวแบ่งออกเป็น 2 ท่อน ท่อนบนจะเป็นเสื้อดําประดับด้วยลูกเดือย นุ่งซิ่นสีแดงมีลวดลายที่ทํามาจากสีธรรมชาติเรียกว่า “หนี่คิ” ผู้ที่มีสถานภาพเป็นแม่บ้านแล้ว ห้ามมิให้กลับไปแต่งชุดสีขาวเป็นอันขาด แม้ว่าสามีจะเสียชีวิตหรือหย่าร้างกันไปแล้วก็ตาม แม้แต่จะลองแต่งชุดสาวโสดก็ไม่ได้เพราะชุดขาวจะใส่ได้เฉพาะผู้ที่เป็นสาวโสดเท่านั้น
              5.3 ผ้าโพกศีรษะของผู้หญิงปกาเกอะญอในสมัยก่อนจะทอด้วยผ้าฝ้ายพื้นสีขาวเดินด้วยลาย สีแดง มีปล่อยชายผ้าทั้งสองข้างยาวประมาณ 1 คืบ หรือจะเป็นผ้าฝ้าย ทั้งสาวโสดและหญิงที่แต่งงานแล้วจะโพกหัวเหมือนกัน (มะลี ทองคํา, การสัมภาษณ์, 14 ธันวาคม 2565)

          ข้อห้าม
          การอยู่ร่วมกันในสังคมจะต้องยึดถือระเบียบข้อบังคับ กฎจารีตประเพณี และเห็นคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อให้ชุมชนดําเนินชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
          1. ข้อห้ามระหว่างคนกับธรรมชาติ
              ก. ป่าช้า ป่าช้าจะเป็นป่าหวงห้ามสําหรับหมู่บ้าน ห้ามเข้าไปตัดต้นไม้และทําประโยชน์ใด ทุกคนต้องเคารพเพราะถือกันว่าเป็นแหล่งพักพิงของวิญญาณบรรพบุรุษ ซึ่งพวกท่านก็ต้องการความสงบร่มเย็น เช่นเดียวกัน
              ข. สัตว์ป่า เช่น ชะนี ชะนีตายหนึ่งตัว ป่าเจ็ดป่าต้องเงียบเหงา นกกกตายหนึ่งตัว ต้นโพธิ์เจ็ดต้น ต้องวังเวง เพราะเป็นนกที่ซื่อสัตย์ต่อคู่หากคู่มันตายมันก็จะฆ่าตัวตายตาม และสัตว์ป่าขนาดใหญ่หลายชนิด จะห้ามการล่า และเมื่อถึงฤดูวางไข่ผสมพันธุ์และเลี้ยงลูกอ่อนจะห้ามล่าสัตว์ป่าทุกชนิด เพราะเป็นช่วงที่สัตว์ป่า ขยายพันธุ์ หากมีการล่าในช่วงนี้จะทําให้สัตว์สูญพันธุ์ได้ แม่น้ําลําธาร บริเวณต้นน้ําลําธารโดยเฉพาะตาน้ําผุด จะห้ามการตัดไม้ทําลายป่า ปลาที่อยู่ในตาน้ําผุดหรืออยู่ในถ้ําห้ามจับ เพราะเชื่อกันว่าปลาเหล่านี้มีเจ้าของ เลี้ยงไว้ หากผู้ใดฝ่าฝืนข้อห้ามผู้นั้นเจ้าของธรรมชาติ เหล่านี้จะลงโทษ โดยการทําให้เจ็บป่วยได้
              ค. ผักและต้นไม้ ห้ามโค่นต้นโพธิ์ต้นไทรเดี๋ยวนางพญาแมกไม้จะลงโทษ ผลไม้จะต้องรอให้ มันสุกก่อนถึงจะเก็บมากินได้ ห้ามเก็บกินขณะยังเป็นลูกอ่อน พืชผักและต้นไม้ทุกชนิดห้ามตัดทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ ห้ามกาต้นไม้ เพราะเชื่อว่าต้นไม้ก็มีชีวิต รู้จักเจ็บรู้จักร้องไห้เช่นเดียวกับมนุษย์ ต้นไม้ ที่ให้ผลเป็นอาหารแก่มนุษย์ห้ามนํามาสร้างบ้าน (มะลี ทองคํา, การสัมภาษณ์, 14 ธันวาคม 2565) 2. ข้อห้ามระหว่างคนกับชุมชนในสังคมกะเหรี่ยงจะมีกฎของชุมชนเพื่อให้คนในหมู่บ้านยึดถือปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้สังคมอยู่ได้อย่างปกติสุข ดังนั้นจึงมีกฎข้อห้ามหลายประการ เช่น ข้อห้ามที่เกี่ยวกับกาลเวลา ห้ามตั้งหมู่บ้านบนเนินน้ําล้อม(เกาะ) ห้ามเก็บหน่อไม้เกินกอละ สามหน่อ ห้ามตัดไม้ไผ่เกินกอละสามลํา ห้ามเก็บชะอมกินในฤดูฝน ห้ามเก็บสมุนไพรเกินขนาด หากเก็บเกิน จะไม่เป็นยา

           ข้อห้ามระหว่างคนกับคน
              ก. ห้ามเกี่ยวกับคนที่มีครรภ์ อย่ากินเนื้อหมูป่าและสัตว์ที่ถูกเสือกัดตาย ห้ามเกี่ยวกับการเลือกคู่ครองและการแต่งงาน ห้ามทะเลาะกันบนขันโตก
              ข. ห้ามข้ามหัวเหยียบเท้าผู้อาวุโส เรื่องราวของข้อห้ามในชีวิตคนกะเหรี่ยงมีมากมาย ที่บรรพบุรุษ ยึดถือปฏิบัติกันมายาวนาน เช่น ข้อห้ามเกี่ยวกับการกินอาหารเป็นกุศโลบายสอนเด็กให้เชื่อฟังพ่อแม่ผู้เฒ่าผู้แก่ เช่น หัวไก่ ห้ามเด็กกิน เด็กกินเด็กจะมีสมองไม่ใส คอไก่ ห้ามเด็กกิน เด็กกินเด็กจะชอบเถียงพ่อแม่ ปีกไก่ ห้ามเด็กกิน เด็กกินเด็กจะมีความเชื่องช้า ขาไก่ ห้ามเด็กกิน เด็กกินเด็กจะชอบเที่ยวเตร่ กินไก่ ห้ามเด็กกิน เด็กกินเด็กจะดื้อ ตับไก่ ห้ามเด็กกิน เด็กกินเด็กจะขี้เกียจ ก้นไก่ ห้ามเด็กกิน เด็กกินเด็กจะพูดมาก หัวใจไก่ ห้ามเด็กกิน เด็กกินเด็กจะเกิดความอ่อนไหว เป็นต้น (บ้านจอมยุทธ, ม.ป.ป.)

บทสรุป
       จากการศึกษาวิถีชีวิต ความเชื่อ ประเพณีและวัฒนธรรมของชาวไทยกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) ในหมู่บ้านรุ้งกะสัง ตําบลโป่งน้ําร้อน อําเภอคลองลาน จังหวัดกําแพงเพชร พบว่า ชุมชนบ้านทุ่งกะสังเป็นชุมชน ที่มีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นในหลายด้าน เช่น อาหาร การแต่งกาย ภาษา ความเชื่อ ประเพณี วิถีวัฒนธรรม บ้านเรือน ชาวไทยกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) ในหมู่บ้านรุ้งกะสังให้ความสําคัญกับการเกิดและการแต่งงาน เป็นอย่างมาก สะท้อนได้จากจํานวนวันที่ยาวนานซึ่งในบางครั้งตั้งแต่การสู่ขอไปจนถึงการออกหาอาหาร ใช้เวลายาวนานถึง 21 วัน นอกจากจํานวนวันในการจัดพิธีต่างๆ จะกินเวลายาวนานแล้วขั้นตอนพิธีการใน วันงานยังมีความละเอียดซับซ้อน อาทิ พิธีดื่มเหล้าที่มีการแยกหัวเหล้าเพื่อมอบให้เจ้าบ่าว ก้นเหล้าเพื่อมอบให้เจ้าสาว พิธีสู่ขอชาวไทยกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) ในหมู่บ้านรุ้งกะสัง มีประเพณีสู่ขอที่แตกต่างจากคนไทย ตรงที่ชาวบ้านในหมู่บ้านจะมีตัวแทนตัวบ่าว(ตัวประกัน) เพื่อเป็นหลักประกันว่า หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เจ้าบ่าวตัวจริงๆ ไม่สามารถมาเข้าพิธีแต่งงานได้ เจ้าบ่าวตัวประกันจะต้องเป็นผู้แต่งงานแทน จากการให้ความสําคัญเหล่านี้ ส่งผลให้คู่แต่งงานของชาวไทยกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) ในหมู่บ้านรุ้งกะสังมีการหย่าร้างน้อยมาก ชาวบ้านจะให้ความสําคัญกับการอยู่แบบผัวเดียวเมียเดียว ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ดีที่มีการสืบทอดต่อกันมานั้นเอง

คำสำคัญ : ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ ข้อห้าม หมู่บ้านวุ้งกะสัง

ที่มา :

รวบรวมและจัดทำข้อมูล : กาญจนา จันทร์สิงห์


สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มาหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. (2567). ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อและข้อห้ามของหมู่บ้านวุ้งกะสัง ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร. สืบค้น 30 เมษายน 2568, จาก https://arit.kpru.ac.th/ap/local/?nu=pages&page_id=2250&code_db=610004&code_type=05

Facebook Twitter LINE Linkedin

PDF

https://arit.kpru.ac.th/ap2/local/?nu=pages&page_id=2250&code_db=610004&code_type=05

Google search

Mic

ชนเผ่าลีซู (LISU)

ชนเผ่าลีซู (LISU)

ตำนานของลีซู มีตำนานเล่าคล้ายๆ กับชนเผ่าหลายๆ เผ่าในเอเชียอาคเนย์ถึงน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ ซึ่งมีผู้รอดชีวิตอยู่เพียงหญิงหนึ่งชายหนึ่งซึ่งเป็นพี่น้องกัน เพราะได้อาศัยโดยสารอยู่ในน้ำเต้าใบมหึมา พอน้ำแห้งออกมาตามหาใครก็ไม่พบ จึงประจักษ์ใจว่าตนเป็นหญิงชายคู่สุดท้ายในโลก ซึ่งถ้าไม่สืบเผ่ามนุษยชาติก็ต้องเป็นอันสูญพันธุ์สิ้นอนาคต แต่ก็ตะขิดตะขวางใจในการเป็นพี่น้อง เป็นกำลังจึงต้องเสี่ยงทายฟังความเห็นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เห็นมีโม่อยู่บนยอดเขาจึงจับตัวครกกับลูกโม่แยกกันเข็นให้กลิ้งลงจากเขาคนละฟาก

เผยแพร่เมื่อ 27-04-2020 ผู้เช้าชม 8,140

ปีใหม่ลูกข่าง

ปีใหม่ลูกข่าง

เป็นประเพณีเปลี่ยนฤดูกาลทำมาเลี้ยงชีพ จัดขึ้นประมาณเดือนธันวาคมของทุกปี ตรงกับเดือนอาข่า คือ “ท้องลาบาลา” คนทั่วไปนิยมเรียกประเพณีนี้ว่า ปีใหม่ลูกข่าง ประเพณีนี้มีประวัติเล่ากันมาว่า เป็นประเพณีที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลทำมาหากิน ซึ่งภายหลังจากที่มีการเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์จากท้องไร่นา เสร็จแล้วก็จะเข้าสู่ฤดูแห่งการพักผ่อน ถือเป็นประเพณีของผู้ชาย โดยผู้ชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จะมีการทำลูกข่าง “ฉ่อง” 

เผยแพร่เมื่อ 25-02-2017 ผู้เช้าชม 4,424

ความเชื่อเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของชีวิตชาวม้ง อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร

ความเชื่อเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของชีวิตชาวม้ง อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร

พิธีศพที่ครบถ้วนถูกต้องส่งวิญญาณผู้ตายไปสู่สุคติ และควรที่จะตายในบ้านของตน หรือบ้านญาติก็ยังดี เมื่อทราบแน่ชัดว่าบุคคลนั้นใกล้เสียชีวิตแล้ว บรรดาญาติสนิทจะมาชุมนุมพร้อมเพียงกัน เพื่อที่จะได้มาดูแล คนที่ใกล้จะเสียชีวิต ม้งมีความเชื่อว่าการตายในบ้านของตนเองนั้น เป็นผู้มีบุญมาก เพราะได้เห็นลูกหลานของ ตนเองก่อนตาย ผู้ตายจะได้นอนตายตาหลับพร้อมกับหมดห่วงทุกอย่าง เมื่อแน่ใจว่าสิ้นลมหายใจแล้ว ญาติจะยิงปืนขึ้นไปบนฟ้า 3 นัด เป็นสัญญาณบอกว่ามีการตายเกิดขึ้นในบ้านหลังนั้น

เผยแพร่เมื่อ 23-09-2024 ผู้เช้าชม 177

ชนเผ่าม้ง : ของใช้ในชีวิตประจำวัน

ชนเผ่าม้ง : ของใช้ในชีวิตประจำวัน

อุปกรณ์ เครื่องใช้ของม้งโดยปกติแล้วม้งจะมีการทำงานหนักในไร่หรือในสวนต่าง ๆ ม้งจึงมีการตีมีดให้เหมาะสมกับงานที่ทำเช่น การตัดไม้จะต้องใช้ มีดด้ามยาว (เม้าะจั๊วะ) หรืออาจจะใช้ขวานก็ได้ ส่วนการทำอาหารต่างจะใช้มีดด้ามสั้นหรือมีดปลายแหลม ส่วนงานที่หนักจะต้องใช้มีดที่มีขนาดใหญ่ เหมาะกับการใช้งาน

เผยแพร่เมื่อ 20-09-2024 ผู้เช้าชม 804

ชนเผ่าม้ง : การตาย

ชนเผ่าม้ง : การตาย

ม้งเชื่อ ว่าพิธีศพที่ครบถ้วนถูกต้อง จึงจะส่งวิญญาณผู้ตายไปสู่สุคติ และควรที่จะตายในบ้านของตน หรือบ้านญาติก็ยังดี เมื่อทราบแน่ชัดว่าบุคคลนั้นใกล้สียชีวิตแล้ว บรรดาญาติสนิทจะมาชุมนุมพร้อมเพียงกัน เพื่อที่จะได้มาดูแลคนที่ใกล้จะเสียชีวิต ม้งมีความเชื่อว่าการตายในบ้านของตนเองนั้น เป็นผู้มีบุญมาก เพราะได้เห็นลูกหลานของตนเองก่อนตาย ผู้ตายจะได้นอนตายตาหลับพร้อมกับหมด ห่วงทุกอย่าง เมื่อแน่ใจว่าสิ้นลมหายใจแล้ว ญาติจะยิงปืนขึ้นไปบนฟ้า 3 นัด เป็นสัญญาณบอกว่ามีการตายเกิดขึ้นในบ้านหลังนั้น

เผยแพร่เมื่อ 20-09-2024 ผู้เช้าชม 676

ชนเผ่าเมียน (MIEN)

ชนเผ่าเมียน (MIEN)

ชาวเมี่ยน เป็นชนชาติเชื้อสายจีนเดิม ชนเผ่านี้เรียกตัวเองว่า เมี่ยน ซึ่งแปลว่า มนุษย์ มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เย้า ถิ่นเดิมของเมี่ยนอยู่ทางตะวันออกของมณฑลไกวเจา ยูนนาน หูหนาน และกวางสีในประเทศจีน ต่อมาการทำมาหากินฝืดเคืองและถูกรบกวนจากชาวจีนจึงได้อพยพมาทางใต้เข้าสู่เวียดนามเหนือ ตอนเหนือของลาว และทางตะวันออกของพม่าบริเวณรัฐเชียงตุงและภาคเหนือของไทย ชาวเมี่ยนที่ี่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย อพยพมาจากประเทศลาวและพม่า ปัจจุบันมีชาวเมี่ยนอาศัยอยู่มากในจังหวัดเชียงราย พะเยา และน่าน รวมทั้งในจังหวัดกำแพงเพชร เชียงใหม่ ตาก เพชรบูรณ์ ลำปาง สุโขทัย

เผยแพร่เมื่อ 27-04-2020 ผู้เช้าชม 20,552

ชนเผ่าม้ง : บ้าน

ชนเผ่าม้ง : บ้าน

ม้งจะชอบตั้งบ้านอยู่บนดอยสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งม้งบางกลุ่มจะมีการปลูกฝิ่นเป็นพืชหลัก แต่ในปัจจุบันนี้ ม้งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ให้อพยพมาตั้งรกรากอยู่ในพื้นราบลุ่มเขา และยังมีม้งบางกลุ่มก็ยังคงตั้งรกรากอยู่บนดอย แต่ไม่ลึกเท่าไร การคมนาคมพอที่จะเข้าไปถึงได้ หมู่บ้านม้งจะประกอบด้วยกลุ่มเรือนหลายๆ หย่อมแต่ละหย่อมจะมีบ้านราวๆ 7-8 หลังคาเรือน โดยที่มีเรือนใหญ่ของคนสำคัญอยู่ตรงกลาง ส่วนเรือนที่เป็นเรือนเล็กจะเป็นลูกบ้านหรือลูกหลาน ส่วนแต่ละหย่อมนั้นจะหมายถึงตระกูลเดียวกัน หรือเป็นญาติพี่น้องกันนั่นเอง

เผยแพร่เมื่อ 20-09-2024 ผู้เช้าชม 757

ประเพณีโล้ชิงช้า

ประเพณีโล้ชิงช้า

จะมีการจัดขึ้นทุกๆ ปี ประมาณปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน ซึ่งจะตรงกับช่วงที่ผลผลิตกำลังงอกงาม และพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวในอีกไม่กี่วัน ในระหว่างนี้อาข่าจะดายหญ้าในไร่ข้าวเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากดายหญ้าแล้วก็รอการเก็บเกี่ยว ตรงกับเดือนของอาข่าคือ “ฉ่อลาบาลา” 

เผยแพร่เมื่อ 25-02-2017 ผู้เช้าชม 4,254

ปีใหม่ของชาวเขาเผ่าม้ง

ปีใหม่ของชาวเขาเผ่าม้ง

ชาวเขาเผ่าม้งจังหวัดกำแพงเพชร สืบสานประเพณี จัดงานขึ้นปีใหม่ม้งคลองลาน จัดกิจกรรมการละเล่นลูกช่วง บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนานรื่นเริงที่อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร นายสุรพล วาณิชเสนี ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เป็นประธานในพิธีเปิดงานสืบสานประเพณี จัดงานขึ้นปีใหม่ม้งคลองลาน โดยมี พันเอกพิเศษหญิง ศินีนาถ วาณิชเสนี นายกเหล่ากาชาด จังหวัดกำแพงเพชร นายสุนทร รัตนากร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร ประชาชน นักท่องเที่ยว และชาวม้งในอำเภอคลองลาน เข้าร่วมพิธีอย่างคับคั่ง

เผยแพร่เมื่อ 22-02-2017 ผู้เช้าชม 4,729

ชนเผ่าม้ง : การปกครอง

ชนเผ่าม้ง : การปกครอง

กฏข้อบังคับของม้ง มีลักษณะคล้ายกับกฏหมายอังกฤษ (Common Law) คือ เป็นกฎหมายที่สืบเนื่องจาก จารีตประเพณีได้มีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร จะต่างกันตรงที่ม้งนำเอากฎหมายข้อบังคับไปผูกไว้กับภูติผี ม้งเองไม่มีภาษาเขียน ชาวม้งได้ถือหลักปฏิบัติตามจารีตประเพณีอย่างเคร่งครัด ชาวม้งไม่มีหัวหน้าสูงสุด และไม่ได้รวมกันอยู่เป็นที่หนึ่งที่เดียวกัน แต่แยกหมู่บ้านออกไปปกครองกันเองเป็นอิสระไม่ขึ้นอยู่กับสังคม ซึ่งในแต่ละหมู่บ้านจัดเป็นสังคมที่เล็ก สามารถเรียกว่า ประชุมโดยตรงได้ การกำหนดวิธีการปกครอง ก็ใช้วิธีออกเสียง ซึ่งทุกคนมีสิทธิเท่ากันหมด และถือเสียงข้างมากเช่นเดียวกับหลักสากลทั่วไปแต่ ผู้มีสิทธิออกเสียงในการปกครอง ได้แก่ ผู้ชายเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น ผู้หญิง เด็กมีสิทธิเข้าร่วมประชุมรับฟัง และให้ความเห็น แต่ไม่มีสิทธิออกเสียง เพราะถือว่า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง ต้องเชื่อฟัง ปรนนิบัติสามีเท่านั้น

เผยแพร่เมื่อ 20-09-2024 ผู้เช้าชม 324