เอื้องหมายนา
เผยแพร่เมื่อ 17-07-2020 ผู้ชม 21,930
[16.4258401, 99.2157273, เอื้องหมายนา]
เอื้องหมายนา ชื่อสามัญ Crape ginger, Malay ginger, Spiral Flag, Wild ginger
เอื้องหมายนา ชื่อวิทยาศาสตร์ Cheilocostus speciosus (J.Koenig) C.D.Specht (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Costus speciosus (J.Koenig) Sm.) จัดอยู่ในวงศ์เอื้องหมายนา (COSTACEAE)
สมุนไพรเอื้องหมายนา มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เอื้อง (อุบลราชธานี), เอื้องช้าง (นครศรีธรรมราช), เอื้องต้น (ยะลา), เอื้องเพ็ดม้า (ภาคกลาง), เอื้องดิน เอื้องใหญ่ บันไดสวรรค์ (ภาคใต้), ซูแลโบ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), ชู้ไลบ้อง ซูเลโบ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), กู่เก้ง (ม้ง), ชิ่งก๋วน (เมี่ยน), ลำพิย้อก (ลั้วะ), ดื่อเหม้ (ยึ) (ปะหล่อง), จุยเจียวฮวย (จีน) เป็นต้น
ลักษณะของเอื้องหมายนา
- ต้นเอื้องหมายนา มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงเกาะนิวกินี จัดเป็นพืชล้มลุก มีเหง้าอยู่ใต้ดิน มักขึ้นเป็นกอ ๆ มีความสูงของต้นประมาณ 1-3 เมตร ไม่แตกกิ่งก้านสาขา ลำต้นกลมฉ่ำน้ำและเป็นสีแดง วัดเส้นผ่านศูนย์กลางของต้นได้ประมาณ 1.5 เซนติเมตร รากเป็นหัวใหญ่ยาว ที่โคนแข็งเหมือนไม้ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและการแตกหน่อ เจริญเติบโตได้ดีร่วนระบายน้ำดี ต้องการน้ำค่อนข้างมาก ควรปลูกในที่มีแสงแดดร่มรำไร มักพบขึ้นตามบริเวณที่มีความชุ่มชื้น ใต้ต้นไม้ใหญ่ ตามน้ำตก ชายน้ำ ริมทางน้ำ ริมหนองบึง ตามบริเวณเชิงเขา และป่าดิบชื้นทั่วทุกภาคของประเทศ ที่ระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 87-126 เมตร ส่วนในต่างประเทศพบได้ตั้งแต่อินเดียตะวันออกจนถึงคาบสมุทรอินโดจีน
- ใบเอื้องหมายนา ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับรอบลำต้น ลักษณะของใบเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน หรือรูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบมนเรียวเข้าหาก้านใบ ส่วนขอบใบเรียบ กาบใบอวบเป็นสีเขียวหรือสีน้ำตาลแดงโอบรอบลำต้น ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5-8 เซนติเมตร และยาวประมาณ 15-40 เซนติเมตร แผ่นใบค่อนข้างหนา หลังใบเรียบเป็นมัน ส่วนท้องใบมีขนนุ่มสั้นคล้ายกำมะหยี่ เส้นใบขนานกับขอบใบ เส้นใบออกจากเส้นกลางใบแต่จะไปสิ้นสุดที่จุดเดียวกัน ทุกส่วนของต้นมีขน ก้านใบมีขนาดสั้นหรือไม่มีก้านใบ
- ดอกเอื้องหมายนา ออกดอกเป็นช่อ ช่อดอกจะออกที่ปลายของลำต้น ลักษณะเป็นรูปไข่ ยาวประมาณ 8-12 เซนติเมตร กาบรองดอกเป็นรูปไข่ปลายแหลม ปลายแข็งคล้ายหนาม สีเขียวปนแดง ยาวประมาณ 1.5-4.5 เซนติเมตร ในแต่ละกาบรองรับดอกย่อย 1 ดอก ดอกจะทยอยบายครั้งละ 1-2 ดอก กลีบเลี้ยงดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ๆ และเป็นสัน 3 สัน ปลายแยกเป็น 3 กลีบ แยกออกเป็น 2 ปาก มีปากด้านบน 2 กลีบ และปากด้านล่าง 1 กลีบ กลีบแยกลึก ส่วนกลีบดอกนั้นมี 3 กลีบ มีขนาดกว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร และยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเล็กน้อยเป็นสีขาว ดอกมีเกสรเพศผู้ที่ไม่สมบูรณ์เปลี่ยนไปมีลักษณะคล้ายกลีบดอก มีขนาดใหญ่กว่ากลีบดอก มีขนาดกว้างประมาณ 10 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5 เซนติเมตร ลักษณะเป็นรูปไข่กลับสีขาว ขอบม้วนซ้อนทับกัน ตรงกลางกลีบด้านในของดอกเป็นสีเหลือง มีขนสีเหลืองปกคลุม เป็นสันตื้น ๆ 3 สันไปยังปลายกลีบ ดอกมีเกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์ 1 อัน ก้านเกสรเพศผู้จะแผ่แบนเป็นแถบ มีขนาดกว้างประมาณ 1.2 เซนติเมตร และยาวประมาณ 4-4.5 เซนติเมตร โดยส่วนของปลายจะกว้างประมาณ 6-7 มิลลิเมตร สีเหลืองเข้มและม้วนลงด้านล่าง อับละอองเกสรเพศผู้จะติดอยู่ใต้บริเวณสีเหลือง ขนาดกว้างประมาณ 3.5 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ส่วนเกสรเพศเมียนั้นมี 1 อัน ก้านเกสรเป็นอิสระ ส่วนปลายแทรกอยู่ระหว่างถุงละอองเกสรเพศผู้ ยอดเกสรเพศเมียจะแผ่ออกอยู่เหนืออับละอองเกสรเพศผู้ มีรังไข่ 3 ช่อง มีออวุลจำนวนมาก ออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม หรือในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน
- ผลเอื้องหมายนา ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมหรือเป็นรูปขอบขนานแกมรูปสามเหลี่ยม ผลมีขนาดยาวประมาณ 1-2.5 เซนติเมตร ผลเมื่อแห้งแล้วจะแตก มีเนื้อแข็ง สุกสีแดงสด ปลายยอดมีกลีบเลี้ยง 1 กลีบ หรืออยู่เป็นกระจุกแหลม 3 แฉก กาบหุ้มผลเป็นสีแดง ภายในผลมีเมล็ดสีดำเป็นมัน
สรรพคุณของเอื้องหมายนา
- ชาวม้งจะใช้เหง้าใต้ดิน นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคความดันโลหิตต่ำ อาการหน้าซีด (เหง้า)
- ชาวไทใหญ่จะใช้รากนำมาดองกับเหล้าดื่มเป็นยาบำรุงกำลัง (ราก) หลายพื้นที่ริยมกินหน่ออ่อนและดอกอ่อนเป็นผัก โดยชาวม้งจะนิยมนำมาต้มกินกับไก่เป็นยาบำรุงกำลัง แก้ตัวเหลือง แก้อาการอ่อนเพลียไม่มีแรง (หน่อ,ดอก)
- คนเมืองจะใช้ลำต้นนำไปต้มกิน เชื่อว่าเป็นยาต้านโรคมะเร็ง (ลำต้น)
- ตำรายาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี จะใช้เหง้าเอื้องหมายนาเข้ายาแก้ซางเด็ก (เหง้า)
- ลำต้นนำมาย่างไฟคั้นเอาน้ำใช้หยอดหู แก้หูน้ำหนวก (ลำต้น)[4],[8]ส่วนชาวไทใหญ่จะใช้ใบนำไปรมไฟ แล้วบีบเอาน้ำมาหยอดหู รักษาโรคหูเป็นหนอง (ใบ)
- ใบมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ (ใบ) รากใช้เป็นยาแก้ไข้หวัด (ราก)
- รากมีรสขมเมา มีสรรพคุณช่วยแก้อาการไอ (ราก)
- ช่วยขับเสมหะ (ราก)
- หมอยาบางพื้นที่จะใช้ใบเอื้องหมายนากับใบเปล้าใหญ่ นำมาซอยตากแห้งอย่างละเท่ากัน นำมามวนสูบเป็นบุหรี่เพื่อรักษาริดสีดวงจมูก (ใบ)
- ต้นตลอดถึงราก มีสรรพคุณเป็นยาช่วยบำบัดอาการปวดมวนในท้องคล้ายโรคกระเพาะ ถ่ายเป็นเลือด กินอาหารแสลงแล้วจะมีอาการปวดและออกทางทวาร (ต้นตลอดถึงราก)
- น้ำคั้นจากลำต้นใช้เป็นยารักษาโรคบิด (น้ำคั้นจากลำต้น)
- ช่วยแก้อาการท้องผูกเป็นประจำ (ต้นตลอดถึงราก)
- ช่วยในการย่อยอาหาร (ราก)
- เหง้านำมาตำพอกบริเวณสะดือเป็นยารักษาโรคท้องมาน (เหง้า)
- เหง้าใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาสมานแผลภายใน (เหง้า)
- เหง้ามีสรรพคุณเป็นยาถ่าย ยาแก้พยาธิ ฆ่าพยาธิ (เหง้า) น้ำคั้นจากเหง้าสดมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง (น้ำคั้นจากเหง้าสด)
- รากมีสรรพคุณเป็นยาขับพยาธิ (ราก)
- เหง้ามีรสขมเมา มีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ (เหง้า)
- ใช้ลำต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือจะใช้ลำต้นนำมารับประทานสดเป็นยาแก้นิ่ว โดยตัดให้มีความยาวหนึ่งวา แล้วเอาไปย่างไฟคั้นเอาน้ำดื่ม (ลำต้น) ส่วนชาวลั้วะจะใช้ใบเป็นส่วนประกอบในยารักษาโรคนิ่ว ร่วมกับใบของมะละกอตัวผู้ และพืชอื่น ๆ อีกหลายชนิด (ใบ)
- ช่วยแก้โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (เหง้า)
- น้ำคั้นจากเหง้าสด ใช้เป็นยารักษาซิฟิลิส (เหง้า)
- ต้นตลอดถึงรากมีสรรพคุณเป็นยาสมานมดลูก (ต้นตลอดถึงราก)
- เหง้ามีสรพคุณช่วยแก้อาการตกขาวของสตรี (เหง้า)
- เหง้ามีฤทธิ์ทำให้แท้ง ควรระวังในการใช้ (เหง้า)
- เหง้าใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาช่วยบำรุงมดลูก (เหง้า)
- รากมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นความต้องการทางเพศ (ราก)
- ช่วยแก้อาการบวมน้ำ (เหง้า)
- รากใช้เป็นยาขม ฝาดสมาน (ราก)
- ใช้รักษาพิษงูกัด (ราก)
- รากใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง (ราก)
- เอื้องหมายนายังมีสรรพคุณเป็นยารักษาอาการผิวหนังเป็นผื่น มีอาการคันตามผิวหนัง รวมทั้งอาการคันจากพิษหมามุ่ย โดยชาวไทใหญ่จะนิยมตัดลำต้นเอื้องหมายนายาวประมาณ 1 นิ้ว พกใส่กระเป๋าในยามที่ต้องเข้าป่า หรือไปถางไร่เพื่อป้องกันไม่ให้ขนหมามุ่ยติด กล่าวคือ มีความเชื่อว่าถ้ามีก้านเอื้องหมายนาพกติดตัวไว้จะไม่มีคันเมื่อถูกหมามุ่ย (ลำต้น)
- เหง้าใช้เป็นยาแก้แผลหนอง อักเสบ บวม ด้วยการนำเหง้ามาต้มเอาแต่น้ำใช้ชะล้างหรือใช้ตำพอกบริเวณที่เป็น (เหง้า)
หมายเหตุ : วิธีการใช้ตาม [3] ในส่วนของเหง้า ให้ใช้เหง้าแห้งครั้งละประมาณ 3-6 กรัม นำมาต้มกับน้ำกินหรือใช้ตุ๋นกับเนื้อสัตว์กิน[3]
ข้อควรระวังในการใช้เอื้องหมายนา
- สตรีมีครรภ์ไม่ควรใช้สมุนไพรชนิดนี้ เพราะอาจทำให้แท้งบุตรได้ เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้มีฤทธิ์ต้านการฝังตัวของตัวอ่อนที่ผนังมดลูก และการใช้สมุนไพรชนิดนี้อาจไปรบกวนรอบประจำเดือนด้วย[10]
- เหง้าสดมีพิษมาก หากใช้ในปริมาณมากจะทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ท้องร่วงอย่างรุนแรง ต้องนำมาทำให้สุกก่อนนำมาใช้
- ส่วนการรักษาพิษให้กินน้ำข้าวที่เย็นครั้งละ 1 ถ้วย ทุก ๆ 15 นาที จนกว่าอาการท้องร่วงจะหายไป
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของเอื้องหมายนา
- เหง้าพบสาร beta-sitosterol glucoside, cyanophoric substance, dipsgenin, dioscin, fatty acid, gracillin, tigofenin, saponin A, B, C, D
- เหง้าเอื้องหมายนา มีสาร diosgenin ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเพศหญิง ใช้เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ยาสเตียรอยด์หลายชนิด
- เหง้าเอื้องหมายนามีสารจำพวก Saponins ซึ่งมีฤทธิ์รักษาอาการอักเสบและข้ออักเสบอย่างเฉียบพลันในหนูใหญ่สีขาวทดลอง ที่เกิดจากการละลายคาร์ราจีนินและฟอร์มาลิน นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์รักษาอาการผิวหนังอักเสบมีน้ำเหลือง เนื่องจากการระคายเคืองจากน้ำมันสลอด และแผลผิวหนังอักเสบเนื่องจากการระคายเคืองของใยสำลีในหนูใหญ่สีขาวทดลอง
- สาร Saponins ในเหง้าเอื้องหมายนา มีผลทำให้มดลูกของหนูใหญ่สีขาวที่ทำให้เป็นหมัน จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น และยังมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงต่อเยื่อบุภายในมดลูก และช่องคลอดของหนูใหญ่สีขาว
- น้ำคั้นที่ได้จากเหง้าเอื้องหมายนามีฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเนื้อมดลูก ที่แยกจากตัวของหนูใหญ่ หนูตะเถา กระต่าย และคน และมดลูกที่อยู่ในตัวของสุนัขและกระต่าย โดยการทำให้กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัวมากขึ้น สารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้มดลูกบีบตัวได้แรงที่สุดและออกฤทธิ์ต่อกล้ามเนื้อมดลูกโดยตรง ผลึก Saponin D มีฤทธิ์ในการกระตุ้นกล้ามเนื้อมดลูกของหนูใหญ่ หนูตะเถา สุนัข กระต่าย และคน ในภาวะที่ระดับฮอร์โมนต่างกันส่วนมดลูกที่แยกจากตัวของคน มดลูกในระยะตั้งท้อง และมดลูกที่อยู่ในตัวของหนูตะเภา สุนัข และกระต่าย จะไวต่อฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเนื้อมดลูกของผลึก Saponin D นี้มาก
- นอกจากนี้ยังพบสารอัลคาลอยด์ที่สกัดได้จากเอื้องหมายนา มีฤทธิ์ยับยั้งฤทธิ์ของเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรส และมีฤทธิ์คล้ายกับ acetylcholine ที่กระตุ้นกล้ามเนื้อลำไส้ตรงของกบ และยังเพิ่มความดันโลหิตของสุนัข ซึ่งเป็นสารอัลคาลอยด์ที่มีฤทธิ์คล้ายกับ physostigmine แต่จะอ่อนกว่า
ประโยชน์ของต้นเอื้องหมายนา
- หน่ออ่อนที่งอกจากต้นในช่วงฤดูฝน สามารถนำมาใช้รับประทานเป็นอาหารได้ แต่ต้องนำมาต้มให้สุกเสียก่อนเพื่อขจัดกลิ่น เมื่อนำมาต้มหรือลวกแล้วจะใช้เป็นผักจิ้มกับน้ำพริก หรือนำไปปรุงอาหาร เช่น แกงเลียง แกงส้ม นำมาหั่นแล้วผัดใส่เนื้อหรือใส่แกงเนื้อ เป็นต้น หรือใช้เหง้าซึ่งมีเมือกลื่นรสฝาด และไม่มีกลิ่นเป็นอาหาร[3] ในประเทศอินเดีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์จะใช้หน่ออ่อนใส่แกง และใช้รับปะทานเป็นผัก
- ใช้เป็นอาหารสัตว์จำพวก โค กระบือ
- ใช้กำจัดหอยเชอรี่ ด้วยการใช้ใบ ดอก และเหง้าเอื้องหมายนามาบดให้ละเอียดผสมกับน้ำ แล้วนำไปเทลาดลงบนแปลงนาที่มีการระบาดของหอยเชอรี่ เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้มีสารแทนนินที่สามารถทำให้ไข่ฝ่อ และหอยเชอรี่ตายได้
- ชาวลั้วะจะใช้ใบเอื้องหมายนาเป็นส่วนประกอบในการทำพิธีสู่ขวัญควาย (การขอขมาลาโทษจากควาย เนื่องจากที่ถูกชาวนาดุด่า ทุบตีระหว่างการไถพรวน)[8],[10]ซึ่งในพิธีจะมีการนำต้นเอื้องหมายนามาปักไว้ทั้ง 4 ทิศของพื้นที่นา โดยจะมีประโยชน์ในการช่วงป้องกันวัชพืชของต้นข้าวที่จะมาทำลายต้นข้าว จึงช่วยทำให้ต้นข้าวออกรวงได้ดี นี้จึงเป็นที่มาของชื่อสมุนไพรชนิดนี้ว่า "เอื้องหมายนา"
- ชาวไทลื้อจะใช้ทั้งต้นเพื่อประกอบพิธีกรรมก่อนการทำนา (พิธีแฮกข้าว) โดยนำไปมัดติดกับตะแหลวร่วมกับดอกปิ้งแดง แล้วนำไปใส่ไม้ปักไว้ที่ไร่น่าก่อนจะปลูกข้าว เพื่อเป็นการบอกกล่าวเจ้าที่ว่าจะทำการปลูกข้าวในที่นาผืนนั้นๆ โดยเชื่อว่าจะช่วยทำให้ข้าวเจริญงอกงามขึ้น (แต่ในปัจจุบันไม่ค่อยทำกันแล้ว)
- เอื้องหมายนา เป็นดอกไม้ที่นิยมนำมาตัดไว้ประดับแจกันทั้งต้นที่มีช่อดอก เนื่องจากทั้งต้นและกาบประดับมีความสวยงามแปลกตา
- ต้นเอื้องหมายนานิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกเลี้ยงได้ง่าย
คำสำคัญ : เอื้องหมายนา
ที่มา : https://medthai.com/
รวบรวมและจัดทำข้อมูล : กาญจนา จันทร์สิงห์
สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มาหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. (2563). เอื้องหมายนา. สืบค้น 20 เมษายน 2567, จาก https://arit.kpru.ac.th/ap/local/?nu=pages&page_id=1784&code_db=610010&code_type=01
Google search
ผักปลาบ จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุก ลำต้นมีลักษณะทอดเลื้อยแต่ชูขึ้น ชูได้สูงประมาณ 65-85 ลำต้นเป็นสีเขียวอวบน้ำ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.1-3.5 มิลลิเมตร แตกกิ่งก้านสาขามาก ตามกิ่งก้านมีขนอ่อนๆ ขึ้นปกคลุม ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด จัดเป็นพรรณไม้กลางแจ้งจำพวกวัชพืช มักขึ้นทั่วไปตามที่ว่างเปล่าและไม่เลือกดิน พบทั่วไปในภูมิภาคเขตศูนย์สูตร ตามริมน้ำ ทุ่งหญ้า และขึ้นในที่ลุ่มชื้นแฉะทั่วไป เช่น จังหวัดนครราชสีมา แม่ฮ่องสอน ที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 330-357 เมตร
เผยแพร่เมื่อ 10-07-2020 ผู้เช้าชม 9,169
สำหรับประโยชน์ของมะขามเทศนั้นมีมากมาย เพราะประกอบไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์หลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โปรตีน เส้นใย เป็นต้น และยังถือว่ามะขามเทศนั้นเป็นสมุนไพรไทยอีกชนิดหนึ่งด้วย เพราะคนโบราณนิยมนำมาใช้รักษาโรคปากนกกระจอกเทศนั่นเอง และยังช่วยบรรเทาอาการปวดฟันได้อีกด้วย
เผยแพร่เมื่อ 23-02-2017 ผู้เช้าชม 1,360
น้ำเต้า มีถิ่นกำเนิดทางทวีปแอฟริกาตอนใต้ โดยจัดเป็นไม้เถาล้มลุกอายุปีเดียวหรืออาจข้ามปี เลื้อยตามพื้นดินหรือไต่พันกับต้นไม้อื่น ลำต้นแข็งแรง ลำต้นมีมือสำหรับใช้ยึดเกาะต้นไม้อื่น ๆ ตามเถามีขนยาวสีขาว ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ชอบดินร่วนระบายน้ำได้ดี สามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย น้ำเต้านั้นมีอยู่หลายสายพันธุ์ เช่น น้ำเต้าที่ลักษณะเป็นน้ำเต้าทรงเซียน ชนิดนี้นิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับ เราจะเรียกว่า "น้ำเต้า
เผยแพร่เมื่อ 02-06-2020 ผู้เช้าชม 5,650
ผักชีฝรั่ง เป็นพืชล้มลุก จัดอยู่ในวงศ์ผักชี โดยมีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้และประเทศเม็กซิโก แต่ปัจจุบันมีการเพาะปลูกทั่วโลก เป็นผักที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีใบสีเขียวอ่อน ขอบใบมีลักษณะคล้ายฟันเลื่อย และสำหรับวิธีการเลือกซื้อผักชีฝรั่งนั้นให้เลือกซื้อเอาใบที่เขียวสด ไม่เหลืองและเหี่ยว เมื่อซื้อมาแล้วก็เก็บใส่ถุงพลาสติกผูกให้มิดชิดแล้วนำไปแช่ตู้เย็นในช่องผักได้เลย
เผยแพร่เมื่อ 10-07-2020 ผู้เช้าชม 6,306
ต้นกระทือไม้ล้มลุกอายุหลายปี ลำต้นเทียมสูงได้ถึง 1 เมตร มีเหง้าใต้ดิน แตกแขนงเป็นกอ เปลือกเหง้าสีน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อในสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอม จะแทงหน่อใหม่ช่วงฤดูฝน ใบกระทือใบเดี่ยว เรียงสลับในระนาบเดียวกัน รูปใบหอก ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ หลังใบสีเขียวเป็นมัน ท้องใบสีเขียวนวล ก้านใบสั้นมาก ยาวประมาณ 5 เซนติเมตร กาบใบเรียงตัวกันแน่น หุ้มเป็นลำต้นเทียม ดอกช่อ แบบช่อเชิงลด ก้านช่อดอกยาว 14-45 เซนติเมตร ตั้งตรง แทงออกมาจากเหง้าใต้ดิน ดอกทรงกระบอก ปลายมน ใบประดับสีเขียวแล้วเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม
เผยแพร่เมื่อ 13-05-2020 ผู้เช้าชม 2,214
บอระเพ็ด เป็นไม้เลื้อยที่พบได้ตามป่าดิบแล้ง จัดเป็นสมุนไพรไทยบ้าน ๆ ที่มีสรรพคุณทางยาสารพัด โดยส่วนที่นิยมนำมาใช้ทำเป็นยาจะคือส่วนของ "เถาเพสลาก" เพราะมีลักษณะไม่แก่หรืออ่อนเกินไปนัก และมีรสชาติขมจัด แต่ถ้าเป็นเถาแก่จะแตกแห้ง รสเฝื่อน ไม่ขม หรือถ้าอ่อนเกินไปก็จะมีรสไม่ขมมาก
เผยแพร่เมื่อ 02-06-2020 ผู้เช้าชม 4,663
กุยช่าย (Chinese Chive) เป็นพืชสมุนไพรจำพวกผัก ที่มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นต่างๆ เช่น ภาคเหนือเรียกหัวซู ภาคอีสานเรียกหอมแป้น กูไฉ่ หรือผักแป้น เป็นต้น ซึ่งโดยทั่วไปกุยช่ายนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ กุยช่ายเขียว และกุยช่ายขาว โดยทั้งสองสายพันธุ์นี้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย เพียงแต่จะต่างในเรื่องของการปลูกและดูแลรักษาเท่านั้น
เผยแพร่เมื่อ 29-04-2020 ผู้เช้าชม 2,338
หูเสือเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการปักชำยอดหรือต้น ขึ้นได้ในทุกสภาพดิน เจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์ที่มีอินทรีวัตถุสูง ชอบความชื้นมาก และแสงแดดปานกลาง พบขึ้นตามที่รกร้างทั่วไป ตามที่ลุ่มชื้นแฉะทั่วทุกภาคของประเทศ แต่พบได้มากทางภาคเหนือ ถือเป็นผักที่มีกลิ่นหอมฉุน มีรสเผ็ดร้อน มีรสเปรี้ยวแทรกอยู่เล็กน้อย
เผยแพร่เมื่อ 17-02-2017 ผู้เช้าชม 1,172
ต้นผักชีล้อม จัดเป็นพืชล้มลุกที่โผล่ขึ้นเหนือน้ำหรือทอดเลื้อยไปตามพื้นผิวดิน ลำต้นกลวงอวบน้ำ ผิวภายนอกเป็นร่อง ชอบขึ้นในน้ำและที่ชื้นแฉะ ขายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเม็ด การแยกไหลและการปักชำ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มี 1-3 ชั้นเรียงสลับ ใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปรีแคบหรือรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบเบี้ยว ขอบใบเป็นจักคล้ายฟันเลื่อยดอกมีขนาดเล็กสีขาวออกเป็นช่อซี่ร่ม ดอกย่อยขนาดเล็ก ผลเป็นผลเดี่ยว ผลแห้งแก่แล้วแตกเป็นสองส่วน ลักษณะของผลค่อนข้างกลมเป็นสัน
เผยแพร่เมื่อ 10-07-2020 ผู้เช้าชม 18,009
ต้นกระท้อนเป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ สูง 15-40 เมตร ต้นเปลา ตรง แตกกิ่งต่ำ เปลือกสีเทาอมน้ำตาล ค่อนข้างเรียบ ใบกระท้อนใบแก่จัดสีแดงอิฐหรือสีแสด ใบช่อ ยาว 20-40 ซม. ช่อติดเรียงสลับเวียนกันไป ใบปลายช่อเป็นใบเดี่ยว ดอกกระท้อนดอกช่อ ออกรวมเป็นช่อ ไม่แยกแขนงตามปลายกิ่ง ช่อยาว 5-15 ซม. มีขนนุ่มทั่วไป ดอกเล็ก สีเหลืองอ่อน หรือเขียวอ่อนอมเหลือง ดอกสมบรูณ์เพศ กลิ่นหอมอ่อนๆ ผลกระท้อนผลกลมหรือแป้น อุ้มน้ำ ผลอ่อนสีเขียว แก่จัดสีเหลือง เมล็ดรูปไต เรียงตามแนวตั้ง 5 เมล็ด ออกดอกเดือน มกราคม -มีนาคม และเป็นผลเดือน มีนาคม-พฤษภาคม
เผยแพร่เมื่อ 13-05-2020 ผู้เช้าชม 4,261