มหาหิงคุ์

มหาหิงคุ์

เผยแพร่เมื่อ 09-07-2020 ผู้ชม 5,906

[16.4258401, 99.2157273, มหาหิงคุ์]

มหาหิงคุ์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Ferula assa-foetida L. จัดอยู่ในวงศ์ผักชี (APIACEAE หรือ UMBELLIFERAE)
สมุนไพรมหาหิงคุ์ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ว่า หินแมงค์ (เชียงใหม่), อาเหว้ย (จีนกลาง) เป็นต้น

ลักษณะของมหาหิงคุ์
       มหาหิงคุ์ คือ ชันน้ำมันหรือยางที่ได้มาจากหัวรากใต้ดินหรือลำต้นของพืชในตระกูล Ferula เป็นสีเหลืองอมสีน้ำตาลและมีกลิ่นฉุน
       ต้นมหาหิงคุ์ (Ferula assa-foetida L.) จัดเป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็ก มีความสูงได้ประมาณ 2 เมตร มีหัวอยู่ใต้ดินและมีรากขนาดใหญ่ ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง ผิวลำต้นแตกเป็นร่อง ๆ ที่โคนต้นจะมีใบแทงขึ้นมาจากรากใต้ดิน
       ใบมหาหิงคุ์ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 3-4 คู่ แต่ช่วงบนของลำต้นของใบจะเป็น 1-2 คู่ ใบหนาและร่วงได้ง่าย ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปกลมรีหรือรูปไข่รียาว เป็นสีเขียวอมเทา ขอบใบมีฟันเลื่อยเล็ก ส่วนก้านใบยาวประมาณ 50 เซนติเมตร
        ดอกมหาหิงคุ์ ออกดอกเป็นช่อคล้ายซี่ร่ม ช่อหนึ่งมีก้านดอกย่อยประมาณ 20-30 ก้านเล็ก ในแต่ละก้านจะแยกออกจากกัน ดอกเพศเมียเป็นสีเหลือง ส่วนดอกเพศผู้เป็นสีขาว มีกลีบ 5 กลีบและจะอยู่ต่างช่อกัน ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 ก้าน มีรังไข่ 2 อัน และมีขนปกคลุม
        ผลมหาหิงคุ์ ผลเป็นผลคู่แบบแบน ลักษณะเป็นรูปไข่ยาวรี

สรรพคุณของมหาหิงคุ์
1. ยางจากรากหรือลำต้นมีรสเผ็ดขม กลิ่นฉุน เป็นยาอุ่น ออกฤทธิ์ต่อกระเพาะ ลำไส้ ตับ และม้าม ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย
2. ช่วยขับเสมหะ
3. ใช้เป็นยาขับลม แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้อาหารไม่ย่อย[1]ตามตำรับยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อยระบุให้ใช้มหาหิงคุ์ 10 กรัม, พริกไทย 10
    กรัม, โกฐกระดูก 20 กรัม, ลูกหมาก 20 กรัม นำมาบดให้เป็นผงทำเป็นยาเม็ดลูกกลอน เม็ดละ 3 กรัม ใช้รับประทานหลังอาหารครั้งละ 10 เม็ด
4. ตำรับยาแก้ท้องแข็งแน่นจับกันเป็นก้อน ให้ใช้มหาหิงคุ์ 20 กรัม, ขมิ้นอ้อย 60 กรัม, ซำเล้ง 100 กรัม, โกฐเขมาขาว 100 กรัม, แปะไก้จี้ 120 กรัม นำมาคั่วแล้วบดเป็นผง
    ทำเป็นยาเม็ด ใช้รับประทานครั้งละ 60 กรัม วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น
5. ช่วยแก้อาการปวดท้อง ปวดกระเพาะ แก้บิด
6. ใช้เป็นยาฆ่าพยาธิ
7. ใช้ผสมกับแอลกอฮอล์ ใช้เป็นยาทาภายนอก แก้ปวด แก้บวม
8. คุณสมบัติทางยาอื่น ๆ ได้แก่ เป็นยาระบาย ยากล่อมประสาท แก้อาการนอนไม่หลับ ถ่ายพยาธิ ฆ่าเชื้อ (ข้อมูลอ้างอิงจากhttp://on.fb.me/RFJ9Tf)
9. ส่วนข้อมูลอื่น ๆ ระบุว่าในอดีตจะใช้มหาหิงคุ์ผสมกับแอลกอฮอล์แล้วนำมาทาท้องเด็ก จะช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ บางส่วนของน้ำมันหอมระเหยจากมหาหิงคุ์มี
    คุณสมบัติเป็นยาฆ่าแมลงได้ ส่วนยางจากรากช่วยบำรุงธาตุ แก้อาการทางประสาทชนิดฮิสทีเรีย ใช้เป็นยาขับลม ชำระเสมหะและลม แก้ลมที่มีอาการให้เสียดแทง แก้อาการ
    เกร็ง ช่วยย่อยอาหาร ขับประจำเดือนของสตรี แก้ปวด แก้อาการชักกระตุก ใช้ภายนอกเป็นยาทาแก้กลาก แก้แมลงสัตว์กัดต่อย และกลิ่นของมหาหิงคุ์ยังใช้ในการรักษาโรค
    หวัดและอาการไอได้ด้วย
หมายเหตุ :
    วิธีใช้ตาม [1] ให้ใช้ครั้งละ 1-1.5 กรัม นำมาเข้ากับตำรับยาหรือผสมแอลกอฮอล์ใช้เป็นยาทาภายนอก แก้ปวด แก้บวม ขับลม ใช้ทาแก้ปวดท้อง หรือใช้เข้ากับตำรายาอื่น ๆ

การออกฤทธิ์ของมหาหิงคุ์
         ปกติแล้วเราจะนำมหาหิงคุ์มาชุบสำลี (หรือจะใช้มหาหิงคุ์ชนิดที่เป็นลูกกลิ้ง) แล้วนำมาทาที่หน้าท้อง ฝ่าเท้า และศีรษะของเด็กทารก หรือใช้รับประทานเป็นยาแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ โดยสารที่ออกฤทธิ์บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ (ทั้งแบบทาและแบบรับประทาน) เป็นสารจากกลุ่มเดียวกัน คือ สารในกลุ่มน้ำมันหอมระเหย ซึ่งการรับประทานนั้นกลไกการออกฤทธิ์จะเป็นแบบ Local ที่ทางเดินอาหาร โดยเป็น Antispasmodic และกระตุ้นให้เกิดการขับลม
         ส่วนในกรณีที่ใช้ทาภายนอกนั้นจะใช้กับเด็กทารกเท่านั้น เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์ Stimulant ด้วย การนำมาทาบริเวณท้องของเด็กคงอาศัยผลจากที่ผนังหน้าท้องของเด็กทารกบางพอที่ผลของการเป็น Stimulant จะสามารถไปกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ได้ แต่การนำไปใช้ทาบริเวณฝ่าเท้าหรือหน้าผากก็สุดจะคาดเดา แต่ที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คงเป็นฤทธิ์ทำให้สงบของมหาหิงคุ์ที่ช่วยทำให้เด็กไม่โยเย (อนุชิต พลับรู้การ)

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของมหาหิงคุ์
1. สารที่พบได้แก่ Latex 40-64%, ยาง 25%, น้ำมันระเหย 10-17% ในน้ำมันหอมระเหยพบสารที่ให้กลิ่นฉุนจำพวก Asafetida เช่น Sec-butyl, Propenyl, Diauldo ส่วนใน
    ยางพบสาร Ferulic acid และยังพบสาร Farnesiferol เป็นต้น
2. สาร Asafetida เป็นสารที่ให้กลิ่นฉุนและรสขม เมื่อเข้าไปในกระเพาะลำไส้ในร่างกายจะถูกดูดซึมโดยไม่พบอาการเป็นพิษ อีกทั้งยังมีผลในการยับยั้งการบีบตัวของลำไส้
    จึงสามารถใช้เป็นยาแก้ท้องเสียได้ และยังสามารถช่วยลดอาการอักเสบในลำไส้ได้อีกด้วย
3. น้ำมันระเหยของมหาหิงคุ์มีฤทธิ์กระตุ้นหลอดลมให้มีการบีบตัว จึงช่วยขับเสมหะได้
4. สารสกัดที่ได้จากมหาหิงคุ์มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคในหลอดทดลองได้ และยังมีฤทธิ์ฆ่าพยาธิตัวกลมกับพยาธิใบไม้ในตับได้อีกด้วย
5. เมื่อนำน้ำที่ต้มกับมหาหิงคุ์ในความเข้มข้น 1:1,000 มาทดลองกับมดลูกที่อยู่นอกตัวของหนูทดลอง พบว่ามีฤทธิ์กระตุ้นให้มดลูกบีบตัวอย่างแรง แต่ถ้าเป็นสารที่สกัดด้วย
    แอลกอฮอล์จะไม่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นมดลูกให้เกิดการบีบตัว

ข้อควรระวังในการใช้มหาหิงคุ์
1. ผู้ที่ม้ามหรือกระเพาะหย่อน รวมถึงสตรีมีครรภ์ห้ามรับประทาน
2. การใช้มหาหิงคุ์เป็นยาทาภายนอก เมื่อนำไปใช้กับเด็กทารกบางครั้งอาจทำให้เกิดอาการแพ้เป็นผื่นคันได้ และไม่ควรรับประทานเพราะอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน
    เป็นผื่นคัน และบวมที่ริมฝีปากได้
3. มหาหิงค์ุ กินได้ไหม? มหาหิงคุ์ในอดีตมักนิยมใช้เข้าตำรับยาร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ สามารถรับประทานได้ โดยขนาดที่ใช้รับประทานสำหรับผู้ใหญ่ คือ 0.3-1 กรัม แต่ใน
    ปัจจุบันผลิตภัณฑ์มหาหิงค์ที่มีจำหน่ายทั่วไปจะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และใช้เป็นยาทาภายนอกเป็นหลัก จึงไม่ควรนำมารับประทาน

ตำรับยาเบ็ญจะอำมฤตย์
        บทความโดย นายคมสัน ทินกร ณ อยุธยา (แพทย์แผนไทย) ลำดับชั้นที่ 6 ในสายราชสกุลแพทย์ "ทินกร" (อ่านฉบับเต็มได้ที่ http://on.fb.me/1gtOvqD
        ตำราแพทยศาสตร์สงเคราะห์จัดให้มหาหิงคุ์อยู่ในตำรับยา "เบ็ญจะอำมฤตย์" อันประกอบไปด้วยตัวยา 9 อย่าง ได้แก่ มหาหิงคุ์ 1 สลึง, ยาดำบริสุทธิ์ 1 สลึง, รงทอง 2 สลึง, มะกรูด 3 ผล แล้วเอามหาหิงคุ์ ยาดำ และรงทอง ใส่ในมะกรูดสิ่งละผล เอามูลโคพอกสุมไฟแกลบให้สุก ต่อมาให้เตรียมขิงแห้ง 1 สลึง, ดีปลี 1 สลึง, พริกไทย 1 สลึง, รากทนดี 2 สลึง, ดีเกลือ 4 บาท (ดีเกลือไทยเท่านั้น) แล้วเอาตัวยาทั้งห้านี้มาผสมกับมะกรูดที่สุมไว้ ทำให้เป็นจุณละลายน้ำส้มมะขามเปียก ใช้รับประทานหนัก 1 สลึง จะช่วยฟอกอุจจาระอันลามกให้สิ้นโทษ ชำระลำไส้อันเป็นเมือกมัน (กรีสังในบุพโพและโลหิตนั้น รวมขับเมือกกรีสังในลำไส้) และปะระเมหะทั้งปวง (เสมหะที่แข็งตัวอย่างยิ่ง อันเกิดแต่อาโปบุพโพ-โลหิต)
        จากตำรับยาดังกล่าวจะประกอบไปด้วย เครื่องยาหลัก (มหาหิงคุ์ ยาดำ และรงทอง มีสรรพคุณถ่ายลม ถ่ายเสมหะและโลหิตที่เป็นพิษ ช่วยกัดฟอกเสมหะและโลหิต และช่วยถ่ายน้ำเหลือง), เครื่องยาช่วย (รากทนดีและดีเกลือไทย มีสรรพคุณช่วยถ่ายเสมหะ ขับเมือกมันในลำไส้ และช่วยถ่ายน้ำเหลืองเสีย) และเครื่องยาประกอบ (ขิงแห้ง ดีปลี และพริกไทย มีสรรพคุณขับเสมหะ แก้เสมหะเฟือง ช่วยเจริญอากาศธาตุ แก้ปถวีธาตุ)

หมายเหตุ :
        การสะตุเครื่องยาเมาเบื่อในตำรับยานี้ เราจะใช้มะกรูด มูลโค แกลบข้าว และกำเดาจากแกลบข้าว จึงจะสะตุยาให้ได้ฤทธิ์เครื่องยาที่เหมาะสมกับตำรับยานี้ และห้ามปรุงยาโดยใช้วิธีอื่น ต้องทำตามที่ระบุไว้ในตำรับยาเท่านั้นจึงจะสำเร็จสรรพคุณตามตำรับยา ส่วนการทำให้เป็นจุณ หมายถึง การทำให้ละเอียดเหมือนผงแป้ง และจะต้องใช้น้ำส้มมะขามเปียกเป็นกระสายยาเป็นเครื่องเชื่อมประสานปั้นเป็นลูกกลอน แล้วต้องได้น้ำหนัก 1 สลึงพอดี และตำรับยานี้มีสรรพคุณเป็นยารุเป็นหลัก (หมายถึงกรีสังอันเกิดแต่น้ำเหลืองและเลือดที่เป็นพิษนั้น และเป็นปลายเหตุที่เกิด ไม่ใช่ต้นเหตุ) แพทย์จะต้องวางด้วยความระมัดระวัง ต้องพิจารณากำลังโรคและกำลังกายของผู้ป่วยด้วย

คำแนะนำ :
         ตำรับยานี้เป็นเพียงการนำเสนอเป็นวิทยาทานซึ่งเป็นกรรมวิธีทางเภสัชกรรมที่ถือปฏิบัติกันตามมาในอดีต ผู้นำไปใช้ต้องมีความรู้จริง รู้ชัด รู้แจ้ง อย่าเพียงแต่อ่านรู้เรื่องแล้วนำไปใช้ทำ เพราะผู้ป่วยบางรายยังไม่แสดงอาการของโรคที่ชัดเจน หากนำไปใช้โดยขาดองค์ความรู้ก็รังแต่จะเกิดโทษ

คำสำคัญ : มหาหิงคุ์

ที่มา : https://medthai.com/

รวบรวมและจัดทำข้อมูล : กาญจนา จันทร์สิงห์


สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มาหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. (2563). มหาหิงคุ์. สืบค้น 19 เมษายน 2567, จาก https://arit.kpru.ac.th/ap/local/?nu=pages&page_id=1671&code_db=610010&code_type=01

Facebook Twitter LINE Linkedin

PDF

https://arit.kpru.ac.th/ap2/local/?nu=pages&page_id=1671&code_db=610010&code_type=01

Google search

Mic

เถาวัลย์เปรียง

เถาวัลย์เปรียง

เถาวัลย์เปรียง จัดเป็นไม้เถาเลื้อยขนาดใหญ่ สามารถเลื้อยไปได้ไกลถึง 20 เมตร มีกิ่งเหนียวและทนทาน กิ่งแตกเถายืดยาวอย่างรวดเร็ว เถามักเลื้อยพาดพันตามต้นไม้ใหญ่ เถาแก่มีเนื้อไม้แข็ง เปลือกเถาเรียบและเหนียว เป็นสีน้ำตาลเข้มอมสีดำหรือแดง เถาใหญ่มักจะบิด เนื้อไม้เป็นสีออกน้ำตาลอ่อน ๆ มีวงเป็นสีน้ำตาลไหม้คล้ายกับเถาต้นแดง ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาลปกคลุม ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดหรือวิธีการแยกไหลใต้ดิน ชอบอากาศเย็นแต่แสงแดดจัด ทนความแห้งแล้งได้ดี

เผยแพร่เมื่อ 02-06-2020 ผู้เช้าชม 5,533

ชำมะนาด

ชำมะนาด

ชำมะนาดเป็นไม้เถาเลื้อย ลำต้นแข็งสีเขียวคล้ำตกกระ มีน้ำยางขาว ใบชำมะนาดเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปรีกว้างแกมรูปไข่กลับ กว้าง 4-8 ซม. ยาว 7-15 เซนติเมตร ก้านใบยาว 2-3 เซนติเมตร ดอกชำมะนาดสีขาว มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อที่ซอกใบ ใกล้ปลายกิ่ง ช่อดอกยาว 2-6 เซนติเมตร มี 10-15 ดอก กลีบดอกเชื่อมกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 5 แฉก เกสรผู้ 5 อัน ติดกันกลางดอกเป็นรูปลูกศร ผลชำมะนาดเมื่อแก่แห้งแตกตามรอยตะเข็บเพียงด้านเดียว

เผยแพร่เมื่อ 28-05-2020 ผู้เช้าชม 2,057

มะกล่ำเผือก

มะกล่ำเผือก

ต้นมะกล่ำเผือก จัดเป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันกับต้นไม้อื่นหรือเลื้อยบนพื้นดิน ยาวประมาณ 50-100 เซนติเมตร ลำต้นแตกกิ่งก้านมากเป็นพุ่มทึบ สีน้ำตาลเข้มอมสีม่วงแดง ก้านเล็กปกคลุมด้วยขนสีเหลืองบาง ๆ เถามีลักษณะกลมเป็นสีเขียว รากมีลักษณะกลมใหญ่ ยาวประมาณ 60 เซนติเมตร มีเขตการกระจายพันธุ์ในจีน ภูฏาน เนปาล อินเดีย บังกลาเทศ ศรีลังกา พม่า ฟิลิปปินส์ ปาปัวนิวกินี ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย โดยมักขึ้นกระจายทั่วไปตามป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้งระดับต่ำ

เผยแพร่เมื่อ 10-07-2020 ผู้เช้าชม 2,189

ตะไคร้

ตะไคร้

ตะไคร้ (Lemon Grass) เป็นพืชสมุนไพรจำพวกหญ้า ที่มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นต่างๆ เช่น ภาคเหนือเรียก เยี่ยงเฮื้อ และภาคอีสานเรียก สิงไค เป็นต้น ซึ่งตะไคร้นั้นเป็นพืชสมุนไพรที่กำเนิดขึ้นในประเทศอินเดีย อิน พม่า ศรีลังกา อินโดนีเซีย และไทย โดยนิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารต่างๆ รับประทาน นับเป็นสมุนไพรไทยที่หลายๆ คนนิยมปลูกในบ้าน เรียกได้ว่าเป็นพืชผักสวนครัวก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นทั้งยารักษาโรคแถมยังมีวิตามินที่สำคัญต่อร่างกายอีกมากมายเลยทีเดียว โดยเฉพาะเป็นส่วนประกอบในอาหารของไทยอย่างต้มยำที่หลายๆ คนชอบรับประทานกัน

เผยแพร่เมื่อ 08-05-2020 ผู้เช้าชม 5,338

ผักเป็ด

ผักเป็ด

ผักเป็ด มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและกระจายพันธุ์ไปทั่วโลก ในประเทศไทยพบได้มากในภาคกลาง โดยจัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกขนาดเล็ก มีอายุราว 1 ปี ที่มีลำต้นตั้งตรงหรืออาจเลื้อยก็แล้วแต่สภาพแวดล้อมที่อยู่ ตามข้อของลำต้นจะมีราก ระหว่างข้อต่อมีร่องและมีขนปกคลุมเล็กน้อย ลำต้นมีทั้งสีแดงและสีขาวอมเขียว โดยต้นผักเป็ดนี้จัดเป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ขึ้นได้ในทุกสภาพของดิน ไม่ว่าจะเป็นดินแห้งหรือดินแฉะ โดยมักจะพบได้ตามที่รกร้างทั่วไปหรือตามที่ชื้นข้างทาง 

เผยแพร่เมื่อ 10-07-2020 ผู้เช้าชม 15,086

ข่าตาแดง

ข่าตาแดง

ต้นข่าตาแดง จัดเป็นพรรณไม้ลงหัว เมื่อแตกขึ้นเป็นกอจะมีลักษณะเหมือนกับข่าใหญ่ แต่จะมีขนาดของต้นเล็กและสั้นกว่าข่าใหญ่เล็กน้อย และมีขนาดโตกว่าข่าลิงเล็กน้อย ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการแยกหน่อเอามาปลูก ใบข่าตาแดง ใบมีลักษณะเช่นเดียวกับข่าใหญ่ โดยมีลักษณะของใบเป็นรูปไข่ยาว คล้ายใบพาย ออกสลับกันรอบๆ ลำต้น ดอกข่าตาแดง ออกดอกเป็นช่อตรงปลายยอด ช่อดอกเป็นสีขาว แต้มด้วยสีแดงเล็กน้อย หน่อข่าตาแดง เมื่อแตกหน่อ หน่อจะเป็นสีแดงจัด ซึ่งเรียกว่า "ตาแดง" มีกลิ่นและรสหอมฉุนกว่าข่าใหญ่

เผยแพร่เมื่อ 19-05-2020 ผู้เช้าชม 5,201

ตรีผลา

ตรีผลา

ตรีผลา (Triphala) (อ่านออกเสียงว่า ตรี-ผะ-ลา) คืออะไร ? คำว่าตรี แปลว่า สาม ส่วนคำว่าผลานั้นหมายถึงผลไม้ จึงหมายถึงผลไม้ 3 อย่าง ซึ่งประกอบไปด้วยลูกสมอพิเภก (Terminalia belerica (Gaertn.) Roxb.), ลูกสมอไทย (Terminalia chebula Retz.), ลูกมะขามป้อม (Phyllanthus emblica Linn.) สรุปก็คือ ตรีผลาเป็นยาสมุนไพรที่เป็นส่วนผสมของสมอพิเภก สมอไทย และมะขามป้อม เมื่อผลไม้ทั้งสามตัวนี้มารวมกันก็จะมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยควบคุมและกำจัดสารพิษในร่างกาย ซึ่งจะส่งเสริมสรรพคุณซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี

เผยแพร่เมื่อ 01-06-2020 ผู้เช้าชม 2,206

กระเบียน

กระเบียน

ต้นกระเบียน จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดเล็กถึงขนาดกลาง เรือนยอดค่อนข้างเล็ก ไม่เป็นรูปทรง เปลือกต้นเป็นสีเทาเข้มแกมน้ำตาลหรือเป็นสีน้ำตาลหม่น ล่อนออกเป็นแผ่นบางๆ กิ่งก้านแข็งแรงหรืออาจมีหนามตรงออกเป็นคู่ที่ข้อ มักขึ้นเป็นกลุ่มหรือขึ้นประปรายในป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ใบเป็นรูปไข่กลับ กลม หรือรูปรี ปลายใบมนหรือแหลมเป็นติ่งสั้น ๆ โคนใบสอบเรียวไปจนถึงก้านใบ ส่วนขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ท้องใบมีขนนุ่ม ก้านใบสั้นมาก มีหูใบอยู่ระหว่างก้านใบเป็นรูปสามเหลี่ยม 1 คู่ อยู่ตรงข้ามกัน

เผยแพร่เมื่อ 09-07-2020 ผู้เช้าชม 4,665

หนามโค้ง

หนามโค้ง

หนามโค้ง จัดเป็นพรรณไม้เถาเลื้อยพาดพันต้นไม้อื่น มีเนื้อไม้แข็ง มีหนามแหลมโค้งเป็นคู่ทั่วทั้งลำต้น เปลือกเถาเป็นสีน้ำตาล ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบมน โคนใบเบี้ยว แผ่นใบบาง ใบย่อยนั้นมีขนาดเล็ก ออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกเป็นสีเหลือง กลีบดอกมี 4 กลีบ และมีกลีบเลี้ยงดอก 4 กลีบ ผลมีลักษณะเป็นฝักแบน ปลายฝักแหลม โคนฝักแหลม ภายในฝักมีเมล็ดประมาณ 4-6 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะแบน

เผยแพร่เมื่อ 17-07-2020 ผู้เช้าชม 3,554

ผักขวง

ผักขวง

ผักขวง จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีลำต้นเตี้ยหรือทอดเลื้อยแตกแขนงแผ่ราบไปกับพื้นดิน แตกกิ่งก้านสาขาแผ่กระจายออกไปรอบ ๆ ต้น ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดดจ้า เจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด ทนแล้งได้ดี พบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะทางภาคเหนือ โดยมักขึ้นได้ในบริเวณที่ชื้นแฉะ ตามไร่นา และตามสนามหญ้าทั่วไป ใบเป็นใบเดี่ยว ใบมีขนาดเล็ก แตกใบออกตามข้อต้น ซึ่งในแต่ละข้อจะมีใบอยู่ประมาณ 4-5 ใบ ลักษณะของใบเป็นรูปยาวรี ปลายใบแหลมหรือมน โคนใบสอบ

เผยแพร่เมื่อ 27-05-2020 ผู้เช้าชม 3,827