Kamphaeng Phet Rajabhat University

เขตข้อมูล รายการ
ฐานข้อมูล

งานวิจัย/Research report

เลขทะเบียน

20190917202917

ชื่อเรื่อง

รายงานวิจัยฉบับสมบุรณ์ โครงการแนวทางการพัฒนประสิทธิภาพการจัดการขนส่งสินค้าการเกษตรในเขตภาคเหนือของประเทศไทย

ชื่อเรื่องรอง

The development approach for the effectiveness in transportation management of agriculture goods in Northern Thailiad.

ผู้แต่ง

ปาจรีย์ ผลประเสริฐ และคนอื่นๆ

ปี

2555

หัวเรื่อง

กะหล่ำปลี

การขนส่ง

ผักกาดขาวปลี

การจัดการขนส่ง

สถานที่พิมพ์

มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ

รายละเอียด

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานของเกษตรกรผู้ปลูกกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลี ศึกษาสภาพการจัดการขนส่ง ปัญหาการจัดการขนส่ง และแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการขนส่งกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลีในเขตภาคเหนือของประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ เกษตรกรผู้ปลูกกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลีในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดตาก จานวน 173 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยที่สาคัญมีดังนี้ คือ 1. ข้อมูลพื้นฐานของเกษตรกรผู้ปลูกกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลีในเขตภาคเหนือ เกษตรกรผู้ปลูกกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลีในเขตภาคเหนือส่วนใหญ่จบการศึกษาในระดับประถมศึกษา มีประสบการณ์ในการปลูก 6-10 ปี และพบว่ามีเกษตรกรที่มีประสบการณ์ในการปลูกมากกว่า 21 ปี ถึงร้อยละ 15.6 เกษตรกรส่วนใหญ่สามารถผลิตกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลีได้ 5,000-5,999 กิโลกรัมต่อไร่ และมีเกษตรกรถึงร้อยละ 13.3 ที่สามารถผลิตกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลีได้มากกว่า 10,000 กิโลกรัมต่อไร่ โดยลักษณะการปลูกพบว่า ร้อยละ 74.0 จะปลูกกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลีร่วมกับผักชนิดอื่นๆ เกษตรกรส่วนใหญ่ได้รับความรู้เกี่ยวกับการเพาะปลูกกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลีจากสมาชิกครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน และโครงการหลวง สาหรับแหล่งที่เกษตรกรขอรับคาปรึกษามากที่สุดเมื่อมีปัญ หาเกี่ยวกับการเพาะปลูกกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลี คือ การศึกษาด้วยตนเอง สมาชิกในครอบครัวและร้านจาหน่ายวัสดุอุปกรณ์ ส่วนรูปแบบการขาย พบว่า เกษตรกรผู้ปลูกกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลีในเขตภาคเหนือส่วนใหญ่มีรูปแบบการขายโดยการขายกับลูกค้ารายเดิมแต่ไม่ผูกขาดและการเปลี่ยนลูกค้าใหม่ไปเรื่อยๆ เมื่อศึกษาเส้นทางการจาหน่ายกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลีในเขตภาคเหนือพบว่าจาแนกออกเป็น 3 แบบที่สาคัญ คือ การ ขนส่งไปยังพ่อค้าคนกลาง (ผู้รวบรวม) การมีพ่อค้าคนกลาง (ผู้รวบรวม) มารับจากพื้นที่ และ มีทั้งพ่อค้าคนกลาง (ผู้รวบรวม) มารับจากพื้นที่และขนส่งไปยังแหล่งจาหน่าย/แหล่งขนส่งโดยตรง ขณะที่เมื่อศึกษาแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการเพาะปลูก พบว่าเกษตรกรร้อยละ 62.4 ใช้ทุนตนเอง มีเพียงบางส่วนที่กู้ยืมเงิน ธ.ก.ส. กู้ยืมเงินสหกรณ์ กู้ยืมเงินกองทุนหมู่บ้าน และเชื่อจากลูกค้า/แหล่งจาหน่าย 2. เส้นทางการขนส่ง สาหรับเส้นทางในการขนส่งกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลีจังหวัดเชียงใหม่จะออกเป็น 7 เส้นทาง คือ เส้นทางจากอาเภอเชียงดาว ถึงอาเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เส้นทางจากอาเภอแม่วาง ถึงอาเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เส้นทางจากอาเภอแม่แจ่ม ถึงอาเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ เส้นทางจากอาเภอแม่แจ่ม ถึงตลาดสี่มุมเมือง เส้นทางจากอาเภอแม่แจ่ม ถึงตลาดไท เส้นทางจากอาเภอแม่แจ่ม ถึงตลาดราชบุรี และเส้นทางจากอาเภอแม่แจ่ม ถึงตลาดนครศรีธรรมราช ส่วนเส้นทางในการขนส่งกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลีในจังหวัดตากจะออกเป็น 7 เส้นทาง คือ เส้นทางจากอาเภอพบพระ ถึงอาเภอแม่สอด จังหวัดตาก เส้นทางจากอาเภอพบพระ จังหวัดตาก ถึงอาเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เส้นทางจากอาเภอพบพระ จังหวัดตาก ถึงตลาดสี่มุมเมือง เส้นทางจากอาเภอพบพระ จังหวัดตาก ถึงตลาดไท เส้นทางจากอาเภอพบพระ จังหวัดตาก ถึงจังหวัดนครปฐม เส้นทางจากอาเภอพบพระ จังหวัดตาก ถึงจังหวัดราชบุรีและเส้นทางจากอาเภอบ้านตาก ถึงตลาดสี่มุมเมือง จังหวัดปทุมธานี 3. ยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่ง ในการขนส่งกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลีในเขตภาคเหนือ เกษตรกรจะใช้รถยนต์กระบะส่วนตัว (รถบิ๊กอัพ) เป็นยานพาหนะในการขนส่ง ระยะทางที่ใช้ในการขนส่งไปยังพ่อค้าคนกลาง (ผู้รวบรวม) ส่วนใหญ่มีระยะทางไม่เกิน 15 กิโลเมตร ขณะที่การขนส่งไปยังแหล่งจาหน่าย/แหล่งส่งต่อโดยตรงภายในจังหวัดส่วนใหญ่จะมีระยะทางในการขนส่งไม่เกิน 50 กิโลเมตร โดยจะมีต้นทุนในการขนส่งตั้งแต่ 50 สตางค์ ถึง 1 บาท สาหรับการขนส่งไปยังแหล่งจาหน่าย/แหล่งส่งต่อโดยตรงต่างจังหวัด พบว่า เกษตรกรจะใช้ส่วนใหญ่จะใช้รถกระบะส่วนตัว (รถบิ๊กอัพ) มีบางส่วนที่ใช้รถยนต์บรรทุก 6 ล้อ สาหรับระยะทางที่ใช้ในการขนส่ง พบว่ามีตั้งแต่ 301 ถึงมากกว่า 700 กิโลเมตร โดยต้นทุนในการขนส่งต่อกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลีหนึ่งกิโลกรัม จะมากกว่า 1.50 บาทขึ้นไป 4. รูปแบบการขนส่ง เกษตรกรในภาคเหนือ ส่วนใหญ่ขนส่งเฉพาะกะหล่าปลีหรือผักกาดขาวปลีอย่างเดียว มีบางส่วนที่ขนส่งร่วมกับพืชผักชนิดอื่นๆ เช่น มะเขือเทศ หอมแดง และหอมญี่ปุ่น เป็นต้น โดยรูปแบบที่ใช้ในการขนส่ง เกษตรกรมากกว่าร้อยละ 61.06 ใช้วิธีการเรียงหมอน และมีเกษตรกรบางส่วนที่จะบรรจุกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลีใส่เข่ง/ตะกร้าและการบรรจุในถุงพลาสติกในการขนส่ง 5. จุดรับซื้อ แหล่งจาหน่าย และแหล่งกระจายสินค้าภาคการเกษตรในจังหวัดเชียงใหม่มีจุดรับซื้อ แหล่งจาหน่าย และแหล่งกระจายกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลี ที่สาคัญ 3 แหล่งใหญ่ แหล่งแรกคือ บ้านม้งโหล่งปง ตาบลกองแขก อาเภอแม่แจ่ม แหล่งที่สองคือ ตลาดเมืองใหม่ อาเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และแหล่งที่สาม คือ แม่โจ้ บาร์ซา อาเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ขณะที่ในจังหวัดตากมีจุดรับซื้อ แหล่งจาหน่าย และแหล่งกระจายกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลี ที่สาคัญ 5 แหล่งใหญ่ แหล่งแรกคือ ถนนสายแม่สอด-อุ้มผาง บริเวณกิโลเมตรที่ 44 ตาบลคีรีราษฎร์ อาเภอพบพระ แหล่งที่สองคือ ถนนสายแม่สอด-อุ้มผาง บริเวณกิโลเมตรที่ 37 ตาบลช่องแคบ อาเภอพบพระ แหล่งที่สามคือตลาดพาเจริญ อาเภอแม่สอด แหล่งที่สี่คือ จุดรับซื้อปากทางเข้าพื้นที่เพาะปลูกบ้านกิ่วสามล้อ อาเภอแม่ระมาดและบ้านม้งใหม่พัฒนา อาเภอบ้านตาก แหล่งที่ห้าคือจุดรับซื้อของพ่อค้าคนกลางบ้านม้งใหม่พัฒนา 6. ปัญหาการจัดการขนส่งกะหล่าปลีและผักการขาวปลีของการเกษตรในเขตภาคเหนือ เกษตรกรในเขตภาคเหนือ มีปัญหาในการจัดการขนส่งกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลี คือ ปัญหาที่เกิดจากพ่อค้าคนกลาง/ผู้รวบรวม ปัญหาเกี่ยวกับเส้นทางที่ใช้ในการขนส่ง ระยะทางในการขนส่ง รถที่ใช้ในการขนส่ง ปัญหาเกี่ยวกับการให้บริการที่จุดรับซื้อของพ่อค้าคนกลาง/ผู้รวบรวม และแหล่งจาหน่าย/แหล่งส่งต่อ 7. แนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการขนส่งกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลี การพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการขนส่งกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลีจาเป็นที่จะต้องพัฒนาทั้งระบบเริ่มตั้งแต่การผลิต การเก็บเกี่ยว การตัดแต่ง การทาความสะอาด การคัดขนาด การบรรจุหีบห่อ (Packing) และท้ายที่สุดคือการขนส่ง โดยในการพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการขนส่งนั้นต้องคานึงถึงทั้งในส่วนของเส้นทางการขนส่ง ยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่ง รูปแบบการขนส่งและจุดรับซื้อ/แหล่งจาหน่ายและแหล่งกระจายกะหล่าปลีและผักกาดขาวปลีร่วมด้วย ดังนั้นในการพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการขนส่งสินค้าการเกษตรนั้นเป็นการพัฒนาหรือให้ความรู้อย่างครบวงจรเพราะทุกส่วนมีส่วนเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน ซึ่งจะทาให้เป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ในที่สุด

ไฟล์เอกสาร ที่ 1

01.pdf